🔥 แค่ 5 นาที เปลี่ยนมุมมองได้เลย

Call-to-Action (CTA) ที่ดีที่สุดสำหรับธุรกิจ B2B ไม่ใช่แค่ 'ติดต่อเรา'

ยาวไป อยากเลือกอ่าน?

เว็บสวย...ทำทุกอย่างแล้ว...แต่ทำไมลูกค้า B2B ถึง “เงียบกริบ”? ปัญหาที่คุณอาจมองข้าม

เคยรู้สึกแบบนี้ไหมครับ? คุณทุ่มเททั้งงบประมาณและเวลาไปกับการสร้างเว็บไซต์ B2B ที่ดูดีมีระดับ จัดข้อมูลสินค้าหรือบริการไว้อย่างครบถ้วน ทำ SEO จนติดหน้าแรก มีคนเข้าเว็บทุกวัน...แต่สุดท้ายสิ่งที่ได้กลับมาคือ “ความเงียบ” ไม่มีใครติดต่อเข้ามาเลยแม้แต่คนเดียว หรือนานๆ ทีจะมีเข้ามาสักราย แต่ก็เป็น Lead ที่ไม่มีคุณภาพ

คุณอาจจะเริ่มสงสัยว่าพลาดตรงไหน? คอนเทนต์ไม่ดีพอ? หรือกลุ่มเป้าหมายไม่ถูกต้อง? แต่บ่อยครั้ง “จุดตาย” ที่หลายคนมองข้ามไป มันกลับซ่อนอยู่ในปุ่มเล็กๆ ที่คุณคุ้นเคยเป็นอย่างดี...ปุ่มที่เขียนว่า “ติดต่อเรา” (Contact Us) นั่นเองครับ นี่คือปัญหาคลาสสิกที่ทำให้ธุรกิจ B2B จำนวนมากสูญเสียโอกาสในการสร้าง Lead ที่มีคุณภาพไปอย่างน่าเสียดาย

[Prompt สำหรับภาพประกอบ] ภาพผู้บริหารหรือทีมการตลาดนั่งมองหน้าจอคอมพิวเตอร์ด้วยสีหน้าเคร่งเครียด บนหน้าจอเป็น Dashboard Analytics ที่มีกราฟ Traffic พุ่งสูง แต่ตัวเลข Conversion หรือ Lead เป็นศูนย์ พร้อมกับมีปุ่ม ‘ติดต่อเรา’ ที่ดูโดดเดี่ยวและถูกเมินอยู่มุมหนึ่งของเว็บ

ทำไมปุ่ม “ติดต่อเรา” ถึงกลายเป็น “ตัวปิดการขาย” สำหรับธุรกิจ B2B

ปัญหานี้ไม่ได้เกิดเพราะปุ่ม “ติดต่อเรา” ไม่ดีนะครับ แต่มันเกิดจากการที่เรา “ยื่นข้อเสนอผิดเวลา” ครับ ลองนึกภาพตามนะครับ การที่ลูกค้า B2B เพิ่งเข้ามาในเว็บไซต์ของคุณเป็นครั้งแรก มันก็เหมือนกับการที่เราเพิ่งเจอกันในงานสัมมนา แล้วคุณเดินไปยื่นนามบัตรให้เขา...นั่นคือเรื่องปกติ แต่ถ้าคุณเดินเข้าไปแล้วพูดว่า “แต่งงานกับผมสิ!”...นั่นคือเรื่องน่าตกใจ

ปุ่ม “ติดต่อเรา” หรือ “ขอใบเสนอราคา” สำหรับลูกค้าที่ยังอยู่ในช่วงเริ่มต้นของการหาข้อมูล (Awareness/Consideration Stage) มันให้ความรู้สึกเหมือนการ “ขอแต่งงาน” ครับ มันเป็นการเรียกร้อง Commitment ที่สูงเกินไป เขายังไม่รู้จักคุณดีพอ ยังไม่แน่ใจว่าคุณจะแก้ปัญหาให้เขาได้จริงไหม การกดปุ่มนั้นหมายถึงการต้อง “เตรียมตัวคุยกับเซลส์” ซึ่งเป็นสิ่งที่หลายคนอยากหลีกเลี่ยงถ้ายังไม่พร้อมจริงๆ

ดังนั้น แทนที่จะได้ข้อมูลติดต่อของว่าที่ลูกค้า คุณกลับสร้างกำแพงที่มองไม่เห็นขึ้นมาผลักเขาออกไปโดยไม่รู้ตัว นี่คือสาเหตุหลักที่ทำให้ cta b2b แบบเดิมๆ ไม่ได้ผลอีกต่อไปในยุคที่ผู้ซื้อต้องการศึกษาข้อมูลด้วยตัวเองก่อน การทำความเข้าใจ การออกแบบประสบการณ์ผู้ใช้สำหรับธุรกิจ B2B จึงเป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่ง

[Prompt สำหรับภาพประกอบ] ภาพเปรียบเทียบ 2 ฝั่ง ฝั่งซ้ายเป็นภาพคนยื่นแหวนขอแต่งงานให้คนแปลกหน้าที่เพิ่งเจอกัน แล้วอีกฝ่ายทำท่างุนงงตกใจ ฝั่งขวาเป็นภาพคนสองคนกำลังแลกเปลี่ยนนามบัตรกันอย่างเป็นมิตร มีข้อความกำกับว่า “'ติดต่อเรา' เหมือนการขอแต่งงาน” และ “'ดาวน์โหลด E-book' เหมือนการแนะนำตัว”

ผลกระทบสุดเจ็บปวด...เมื่อเว็บไซต์ของคุณมีแต่ “ทางตัน”

การปล่อยให้เว็บไซต์ B2B ของคุณมีแต่ CTA ที่เรียกร้อง Commitment สูงๆ อย่าง “ติดต่อเรา” เพียงอย่างเดียว มันส่งผลร้ายมากกว่าแค่การไม่ได้ Lead นะครับ แต่มันคือการทำลายโอกาสทางธุรกิจในระยะยาว:

  • เผาเงินค่าโฆษณาทิ้ง: คุณจ่ายเงินมหาศาลเพื่อดึงคนเข้ามาที่เว็บ แต่กลับไม่มีกระบวนการ “เก็บ” Lead ที่อยู่ในช่วงต้นๆ ของการตัดสินใจ เงินค่าคลิกเหล่านั้นจึงสูญเปล่าไปอย่างสิ้นเชิง
  • พลาด Lead คุณภาพสูงในอนาคต: คนที่เข้ามาวันนี้อาจจะยังไม่พร้อมซื้อ แต่ในอีก 3-6 เดือนข้างหน้า เขาอาจจะเป็นลูกค้ารายใหญ่ของคุณก็ได้ แต่เมื่อเว็บคุณไม่มีอะไรให้เขา “แลกเปลี่ยน” เพื่อรักษาความสัมพันธ์ไว้ เขาก็จะหายไปจากชีวิตคุณตลอดกาล
  • ทีมขายไม่มีข้อมูลให้ทำงานต่อ: Sales Team ของคุณจะไม่มีรายชื่อผู้มุ่งหวัง (Prospects) ให้อบรมบ่มเพาะ (Lead Nurturing) ทำให้ไปพึ่งพาแต่การทำ Cold Calling หรือ Outbound ที่เหนื่อยและได้ผลน้อยกว่า
  • เสียเปรียบคู่แข่งอย่างชัดเจน: ในขณะที่คุณรอให้คน “ติดต่อเรา” คู่แข่งของคุณอาจกำลังแจก E-book, จัด Webinar, หรือมี Case Study ให้ดาวน์โหลด พวกเขากำลังสร้างความสัมพันธ์และฐานข้อมูลลูกค้าไปล่วงหน้าคุณหลายก้าวแล้ว

การปล่อยให้ปัญหานี้ดำเนินต่อไป ก็ไม่ต่างอะไรกับการที่คุณมีหน้าร้านสวยหรู แต่กลับล็อคประตูแล้วบอกให้ลูกค้าเคาะเรียกเท่านั้น ซึ่งในโลกออนไลน์ที่ทุกคนมีตัวเลือกมากมาย...ไม่มีใครรอเคาะประตูบ้านคุณแน่นอนครับ

[Prompt สำหรับภาพประกอบ] ภาพท่อน้ำที่มีรูรั่วขนาดใหญ่ เงิน (ในรูปแบบเหรียญหรือธนบัตร) กำลังไหลออกจากรูรั่วนั้น โดยที่ท่อน้ำมีป้ายติดว่า “Marketing Budget” และปลายทางของท่อคือเว็บไซต์ที่มีแต่ปุ่ม “ติดต่อเรา” ที่ไม่มีใครกด

พลิกเกม! เปลี่ยนเว็บ B2B ให้เป็นแม่เหล็กดูด Lead ด้วย “CTA ที่ใช่”

ทางแก้ที่ทรงพลังที่สุดคือการเปลี่ยนวิธีคิดใหม่ครับ จาก “การร้องขอ” มาเป็นการ “เสนอคุณค่า” (Value-First CTA) เราต้องออกแบบ Call-to-Action ให้สอดคล้องกับแต่ละช่วงการเดินทางของลูกค้า (Buyer's Journey) แทนที่จะมีแค่ปุ่มเดียวสำหรับทุกคน

หลักการง่ายๆ คือ “ยิ่งลูกค้ารู้จักเราน้อยเท่าไหร่ เรายิ่งต้องขอข้อมูลเขาน้อยลง และให้คุณค่าเขามากขึ้นเท่านั้น” ลองแบ่ง CTA ของคุณออกเป็น 3 ระดับตามนี้ครับ

ระดับที่ 1: ช่วงสร้างการรับรู้ (Top of Funnel - ToFu)
กลุ่มนี้เพิ่งรู้จักคุณ ยังไม่พร้อมซื้อ ขอแค่อีเมลก็พอ แลกกับข้อมูลความรู้ที่เป็นประโยชน์

  • ดาวน์โหลด E-book/Whitepaper: (เช่น "คู่มือเลือกซอฟต์แวร์ CRM สำหรับธุรกิจ SME")
  • ลงทะเบียนรับชม Webinar: (เช่น "Webinar สอนเทคนิคการตลาดออนไลน์ล่าสุด")
  • รับ Checklist/Template ฟรี: (เช่น "รับฟรี! Checklist ตรวจสอบ SEO เว็บไซต์")
  • ติดตามจดหมายข่าว (Newsletter): เพื่อรับข้อมูลอัปเดตและโปรโมชั่น

ระดับที่ 2: ช่วงพิจารณา (Middle of Funnel - MoFu)
กลุ่มนี้เริ่มสนใจในโซลูชันแบบของคุณแล้ว ต้องการข้อมูลเชิงลึกเพื่อเปรียบเทียบ

  • ดาวน์โหลด Case Study: (เช่น "อ่านกรณีศึกษา: เราช่วยให้บริษัท A ลดต้นทุนได้อย่างไร")
  • ขอใบประเมินราคาเบื้องต้น (Get a Quote/Estimate): เหมาะสำหรับธุรกิจบริการ
  • ทดลองใช้เครื่องมือฟรี (Free Tool): (เช่น "ลองใช้เครื่องมือคำนวณ ROI ของเรา")
  • ชมวิดีโอสาธิตผลิตภัณฑ์ (Watch a Demo Video): เป็นวิดีโอที่อัดไว้แล้ว ไม่ใช่ Live Demo

ระดับที่ 3: ช่วงตัดสินใจ (Bottom of Funnel - BoFu)
กลุ่มนี้พร้อมที่จะคุยกับคุณแล้ว นี่คือจังหวะที่เหมาะสมสำหรับ CTA ที่มี Commitment สูง

  • ขอ Demo แบบสด (Request a Live Demo): คุยกับผู้เชี่ยวชาญแบบ 1-ต่อ-1
  • ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญฟรี (Book a Free Consultation): เปิดโอกาสให้ลูกค้าได้สอบถามปัญหาเฉพาะของเขา
  • เริ่มต้นทดลองใช้ฟรี (Start a Free Trial): สำหรับธุรกิจ SaaS นี่คือ cta b2b ที่ทรงพลังที่สุด
  • ติดต่อฝ่ายขาย (Contact Sales): ชัดเจน ตรงไปตรงมา สำหรับคนที่พร้อมซื้อจริงๆ

การมี CTA ที่หลากหลายเหล่านี้ จะทำให้คุณสามารถ “ดักจับ” Lead ได้ในทุกช่วงของการเดินทาง สำหรับไอเดียเพิ่มเติม สามารถศึกษาจากแหล่งข้อมูลที่น่าเชื่อถืออย่าง HubSpot หรือ Copyblogger ได้ครับ

[Prompt สำหรับภาพประกอบ] ภาพอินโฟกราฟิกรูปทรงกรวย (Funnel) ที่แบ่งเป็น 3 ส่วนชัดเจน (Top, Middle, Bottom) ในแต่ละส่วนมีตัวอย่างปุ่ม CTA ที่แตกต่างกันไปตามที่ระบุไว้ในเนื้อหา ทำให้เห็นภาพการเดินทางของลูกค้าอย่างชัดเจน

ตัวอย่างจริง: เมื่อบริษัท SaaS เปลี่ยน CTA แล้วยอด MQL พุ่ง 320%

เพื่อให้เห็นภาพชัดขึ้น ผมขอยกตัวอย่างเคสของ “LeadGenify” (นามสมมติ) บริษัทซอฟต์แวร์ด้าน Marketing Automation ที่เคยเจอปัญหาหนักอกมาก่อน เว็บไซต์ของพวกเขามี Traffic เดือนละหลายหมื่นคน แต่ได้ Lead จากปุ่ม “Request a Demo” แค่เดือนละไม่ถึง 20 ราย

ปัญหาที่เจอ: เว็บไซต์มีแต่ CTA เดียวคือ “Request a Demo” ซึ่งเป็นข้อเสนอสำหรับลูกค้าช่วง Bottom of Funnel เท่านั้น ทำให้พวกเขาพลาดกลุ่มคนที่ยังอยู่ในช่วงศึกษาข้อมูลไปทั้งหมด

วิธีแก้ปัญหา: ทีมการตลาดของ LeadGenify ตัดสินใจยกเครื่อง CTA ทั้งหมดบนเว็บไซต์ โดยยึดหลัก Buyer's Journey

  1. บนหน้า Blog: พวกเขาเปลี่ยน CTA ท้ายบทความทั้งหมด จาก “Request a Demo” เป็น “ดาวน์โหลด E-book: 10 เทคนิค Marketing Automation ที่คุณต้องรู้” เพื่อจับ Lead กลุ่ม ToFu
  2. บนหน้า Features: หลังจากอธิบายฟีเจอร์ต่างๆ จบ พวกเขาเพิ่มปุ่ม “ดูวิดีโอสาธิต (5 นาที)” เข้ามาเป็นตัวเลือกที่สอง เพื่อจับกลุ่ม MoFu ที่อยากเห็นภาพแต่ยังไม่พร้อมคุยกับเซลส์
  3. บนหน้า Pricing: ปุ่ม “Request a Demo” ยังคงอยู่ แต่พวกเขาเพิ่มปุ่ม “เริ่มต้นทดลองใช้ฟรี 14 วัน” เข้ามาเป็นตัวเลือกหลัก ซึ่งเป็น CTA ที่น่าดึงดูดใจกว่ามาก

ผลลัพธ์ที่น่าทึ่ง: ภายใน 3 เดือนหลังจากปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ CTA ทั้งหมด LeadGenify สามารถเพิ่มจำนวน Marketing Qualified Leads (MQLs) จากเฉลี่ย 20 รายต่อเดือน เป็น 84 รายต่อเดือน หรือ เพิ่มขึ้นกว่า 320% โดยที่ยังใช้งบการตลาดเท่าเดิม! นี่คือพลังของการยื่นข้อเสนอที่ “ถูกที่ ถูกเวลา และถูกคน” อย่างแท้จริง และเป็นหนึ่งใน ตัวอย่าง cta b2b ที่ประสบความสำเร็จ

[Prompt สำหรับภาพประกอบ] ภาพกราฟเส้น 2 เส้นเปรียบเทียบกัน เส้นแรก (สีเทา) เขียนว่า “ก่อนปรับ CTA” มีตัวเลขคงที่ในระดับต่ำ เส้นที่สอง (สีเขียวสว่าง) เขียนว่า “หลังปรับ CTA” แสดงการเติบโตแบบพุ่งทะยาน พร้อมตัวเลขเปอร์เซ็นต์กำกับว่า "+320% MQLs"

ถ้าอยากทำตามต้องเริ่มยังไง? Checklist 5 ขั้นตอนสร้าง CTA เงินล้าน

อ่านมาถึงตรงนี้ คุณคงอยากจะกลับไปยกเครื่องเว็บไซต์ของตัวเองแล้วใช่ไหมครับ? ลองทำตาม Checklist 5 ขั้นตอนนี้ได้เลย รับรองว่าคุณจะสามารถสร้าง cta b2b ที่ทรงพลังและสร้างผลลัพธ์ได้จริง

  1. Step 1: ทำความเข้าใจการเดินทางของลูกค้า (Map the Buyer's Journey): วิเคราะห์ว่ากว่าที่ลูกค้าจะมาซื้อของคุณ เขาต้องผ่านขั้นตอนอะไรบ้าง? เขามีคำถามอะไรในแต่ละช่วง? (Awareness, Consideration, Decision)
  2. Step 2: สร้าง “เหยื่อล่อ” ที่มีคุณค่า (Create Value-Packed Offers): คิดว่าจะให้อะไรเพื่อแลกกับข้อมูลติดต่อในแต่ละช่วง? E-book, Case Study, Webinar, Free Trial, หรือ Checklist? สร้างคอนเทนต์เหล่านี้ขึ้นมารองรับ
  3. Step 3: เขียนข้อความบนปุ่มให้ชัดเจน (Write Action-Oriented Copy): ใช้คำที่ขึ้นต้นด้วย “คำกริยา” ที่บอกให้รู้ว่าทำแล้วจะได้อะไร เช่น “ดาวน์โหลดคู่มือ”, “เริ่มทดลองใช้ฟรี”, “ขอคำปรึกษาทันที” แทนคำว่า “ส่ง” หรือ “คลิก” ธรรมดาๆ
  4. Step 4: ออกแบบปุ่มให้ “เด่น” และ “น่าคลิก”: ใช้สีที่ตัดกับพื้นหลังของเว็บไซต์ (Contrast Color) ทำให้ปุ่มมีขนาดใหญ่พอที่จะสังเกตเห็นได้ง่าย และมีพื้นที่ว่างรอบๆ เพื่อให้ปุ่มดูไม่รก
  5. Step 5: วาง CTA ให้ถูกที่ถูกทาง (Strategic Placement): นำ CTA ที่สร้างขึ้นไปวางในหน้าที่เหมาะสม เช่น CTA ดาวน์โหลด E-book ควรอยู่ท้ายบทความ, CTA ขอ Demo ควรอยู่ในหน้า Pricing หรือหน้า Product การเข้าใจ จิตวิทยาบนหน้า Landing Page จะช่วยให้คุณวาง CTA ได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด

แค่ทำตาม 5 ขั้นตอนนี้ คุณก็จะสามารถเปลี่ยนเว็บไซต์ที่เคยเงียบเหงา ให้กลายเป็นเครื่องมือหาลูกค้าที่ทำงานให้คุณตลอด 24 ชั่วโมงได้แล้วครับ

[Prompt สำหรับภาพประกอบ] ภาพ Checklist ที่มี 5 ข้อตามเนื้อหา แต่ละข้อมีไอคอนประกอบที่สวยงาม เข้าใจง่าย เช่น ข้อ 1 เป็นรูปแผนที่, ข้อ 2 เป็นรูปกล่องของขวัญ, ข้อ 3 เป็นรูปดินสอ, ข้อ 4 เป็นรูปแปรงทาสี, ข้อ 5 เป็นรูปลูกศรชี้เป้า

คำถามที่คนทำเว็บ B2B มักสงสัยเกี่ยวกับ CTA

ผมได้รวบรวมคำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับ cta b2b มาตอบให้หายสงสัยกันตรงนี้เลยครับ

Q1: เราควรเอาปุ่ม “ติดต่อเรา” (Contact Us) ออกไปเลยไหม?
A: ไม่จำเป็นต้องเอาออกครับ แต่ควรลดระดับความสำคัญลง อาจจะย้ายไปไว้ที่เมนูด้านบนสุดหรือท้ายสุดของเว็บไซต์ (Header/Footer) และให้ความสำคัญกับ CTA หลักที่น่าดึงดูดใจกว่าในแต่ละหน้าแทน

Q2: หนึ่งหน้าเว็บควรมี CTA กี่อัน?
A: ควรมี “CTA หลัก” (Primary CTA) เพียงอันเดียวที่โดดเด่นที่สุด เพื่อไม่ให้ผู้ใช้สับสน แต่อาจมี “CTA รอง” (Secondary CTA) ที่เป็นทางเลือกได้ เช่น หน้า Pricing อาจมีปุ่มหลักคือ “Start Free Trial” (สีเขียวสดใส) และมีปุ่มรองเป็น “Talk to Sales” (แบบตัวอักษรมีเส้นใต้) สำหรับคนที่ไม่ต้องการทดลองใช้แต่อยากคุยเลย

Q3: ปุ่ม CTA ที่ดีควรเป็นสีอะไร?
A: ไม่มีสีไหนดีที่สุดตายตัวครับ กฎที่สำคัญกว่าสีคือ “ความแตกต่าง” (Contrast) ปุ่มของคุณต้องมีสีที่โดดเด่นออกมาจากสีพื้นหลังของเว็บไซต์อย่างชัดเจน เพื่อให้ผู้ใช้สังเกตเห็นได้ทันที

Q4: จะรู้ได้อย่างไรว่า CTA ของเราได้ผล?
A: ต้องวัดผลครับ! ใช้เครื่องมืออย่าง Google Analytics หรือ Hotjar เพื่อติดตาม Click-Through Rate (CTR) และ Conversion Rate ของแต่ละปุ่ม และควรทำ A/B Testing เพื่อทดสอบ CTA รูปแบบต่างๆ (เช่น เปลี่ยนข้อความ, เปลี่ยนสี) เพื่อหาเวอร์ชันที่ให้ผลลัพธ์ดีที่สุด

[Prompt สำหรับภาพประกอบ] ภาพไอคอนรูปหลอดไฟสว่างอยู่เหนือเครื่องหมายคำถาม (?) ตรงกลาง และมีไอคอนเล็กๆ 4 อันล้อมรอบแทนแต่ละคำถาม (เช่น รูปปุ่ม Contact Us, รูปหน้าเว็บที่มีหลายปุ่ม, รูปถาดสี, รูปกราฟวัดผล) เพื่อสื่อถึงการไขข้อข้องใจ

ได้เวลาเลิกขอ...แล้วเริ่ม “ให้” สรุปส่งท้ายสำหรับนักการตลาด B2B

มาถึงตรงนี้ ผมเชื่อว่าคุณคงเห็นแล้วว่าการยึดติดอยู่กับปุ่ม “ติดต่อเรา” เพียงอย่างเดียว มันเป็นการจำกัดศักยภาพของเว็บไซต์ B2B ของคุณมากแค่ไหน หัวใจสำคัญของการสร้าง cta b2b ที่ประสบความสำเร็จในวันนี้ คือการเปลี่ยนมุมมองจากการ “พยายามจะขาย” มาเป็นการ “พยายามจะช่วย”

จงให้คุณค่ากับผู้มุ่งหวังของคุณก่อนเสมอ...ให้ความรู้, ให้เครื่องมือ, ให้กรณีศึกษา, ให้คำปรึกษาเบื้องต้น แล้วเมื่อพวกเขารู้สึกว่าคุณคือ “ผู้เชี่ยวชาญ” ที่เข้าใจปัญหาของเขาอย่างแท้จริง การตัดสินใจกดปุ่ม “ขอ Demo” หรือ “คุยกับฝ่ายขาย” จะกลายเป็นเรื่องง่ายดายสำหรับพวกเขาทันที

อย่าปล่อยให้เว็บไซต์ของคุณเป็นแค่โบรชัวร์ออนไลน์ที่สวยงามอีกต่อไป แต่จงเปลี่ยนมันให้เป็น “ที่ปรึกษา” และ “เครื่องมือสร้างความสัมพันธ์” ที่ทรงพลังที่สุดของคุณ

ถึงเวลาแล้วที่จะเปลี่ยนทุก Traffic ให้กลายเป็น Opportunity! หากคุณต้องการที่ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญในการออกแบบประสบการณ์และสร้างสรรค์ Landing Page ที่มี CTA ทรงพลังและสร้าง Conversion ให้กับธุรกิจ B2B ของคุณโดยเฉพาะ

คลิกที่นี่เพื่อดูบริการออกแบบ Landing Page ที่สร้าง Conversion สูง หรือ ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้าน Conversion Rate Optimization ของเราได้เลย! เราพร้อมช่วยคุณเปลี่ยน “ผู้เข้าชม” ให้เป็น “ลูกค้า” ครับ

[Prompt สำหรับภาพประกอบ] ภาพมือสองข้าง ข้างหนึ่งกำลัง “ยื่น” กล่องของขวัญที่สวยงาม (แทน Value) ไปให้อีกข้างหนึ่งที่กำลังจะ “รับ” อย่างเต็มใจ เพื่อสื่อถึงคอนเซ็ปต์ของการ “ให้ก่อนรับ” เป็นภาพที่ให้ความรู้สึกเชิงบวกและสร้างแรงบันดาลใจ

แชร์

Recent Blog

Mental Models สำหรับนักกลยุทธ์เว็บ: คิดอย่างไรให้ตัดสินใจได้ดีขึ้น

ยกระดับการตัดสินใจของคุณด้วย Mental Models เช่น First-Principles Thinking, Second-Order Thinking, และ Inversion ที่จะช่วยให้คุณมองปัญหาการทำเว็บได้ทะลุปรุโปร่ง

The Long Tail: กลยุทธ์หา Keyword เฉพาะทางที่คู่แข่งมองข้าม

เจาะลึกกลยุทธ์ The Long Tail ในการทำ SEO ด้วยการค้นหาและสร้างคอนเทนต์สำหรับ Keyword ที่มีปริมาณค้นหาน้อยแต่ Conversion Rate สูง ซึ่งมักถูกคู่แข่งมองข้าม

OKR (Objectives and Key Results) สำหรับทีมทำเว็บไซต์และ SEO

ตัวอย่างการตั้ง OKR ที่ดีสำหรับทีมพัฒนาเว็บไซต์และทีม SEO ที่สามารถวัดผลได้จริงและสอดคล้องกับเป้าหมายใหญ่ของบริษัท