เปลี่ยนแปลงธุรกิจคุณสู่ระดับใหม่ รับทำเว็บไซต์ด้วย Webflow

ในยุคดิจิทัลที่เทคโนโลยีก้าวหน้าไปอย่างรวดเร็ว การมีเว็บไซต์เป็นของตัวเองถือเป็นสิ่งสำคัญสำหรับทุกธุรกิจ ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจขนาดเล็กหรือขนาดใหญ่ก็ตาม แต่คำถามคือ ควรจะทำเว็บไซต์ด้วยตัวเองหรือจ้างบริษัทรับทำเว็บไซต์ดี วันนี้เรามาดูข้อดีข้อเสียของทั้งสองทางเลือกกัน

ข้อดีของการทำเว็บไซต์เอง

• ประหยัดค่าใช้จ่าย เพราะไม่ต้องจ่ายค่าจ้างบริษัทรับทำเว็บไซต์
• สามารถควบคุมและปรับแต่งเว็บไซต์ได้ตามใจชอบ
• เรียนรู้ทักษะใหม่ๆ ในการสร้างเว็บไซต์

ข้อเสียของการทำเว็บไซต์เอง

• ต้องใช้เวลาและความพยายามในการเรียนรู้และลงมือทำ
• อาจได้ผลลัพธ์ที่ไม่ตรงใจหรือไม่มืออาชีพเท่าที่ควร
• ต้องดูแลและอัพเดทเว็บไซต์เองอย่างสม่ำเสมอ

ข้อดีของการจ้างบริษัทรับทำเว็บไซต์

• ได้เว็บไซต์ที่มีคุณภาพและมืออาชีพ เพราะทำโดยผู้เชี่ยวชาญ
• ประหยัดเวลาและความยุ่งยาก เพราะมีทีมงานคอยดูแลให้
• มีระบบรักษาความปลอดภัยและซัพพอร์ตหลังการขาย

ข้อเสียของการจ้างบริษัทรับทำเว็บไซต์

• ค่าใช้จ่ายสูงกว่าการทำเว็บไซต์เอง
• อาจต้องใช้เวลาในการสื่อสารและปรับแก้งานกับทีมงาน
• ไม่สามารถควบคุมหรือแก้ไขเว็บไซต์ได้เองทั้งหมด

‍

ในยุคดิจิทัลเช่นนี้ การมีเว็บไซต์เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับธุรกิจทุกประเภท แต่การรับทำเว็บไซต์ด้วยตัวเองอาจไม่ใช่ทางเลือกที่ดีที่สุดเสมอไป การจ้างบริษัทรับทำเว็บไซต์มืออาชีพจะช่วยให้คุณได้เว็บไซต์ที่มีคุณภาพ ตอบโจทย์ธุรกิจ และดึงดูดลูกค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ มาดู 10 เหตุผลที่คุณควรจ้างบริษัทรับทำเว็บไซต์มืออาชีพกันเลย

‍

1. ได้เว็บไซต์ที่มีการออกแบบสวยงาม ทันสมัย

บริษัทรับทำเว็บไซต์มืออาชีพจะมีทีมงานนักออกแบบที่คอยสร้างสรรค์เว็บไซต์ให้สวยงาม ทันสมัย สะดุดตา และใช้งานง่าย ซึ่งจะช่วยสร้างความประทับใจให้กับลูกค้าที่เข้ามาเยี่ยมชมเว็บไซต์ของคุณ

2. รองรับการใช้งานบนอุปกรณ์ต่างๆ

ปัจจุบันผู้ใช้งานอินเทอร์เน็ตส่วนใหญ่เข้าถึงเว็บไซต์ผ่านสมาร์ทโฟนและแท็บเล็ต ดังนั้นการมีเว็บไซต์ที่รองรับการแสดงผลบนหน้าจออุปกรณ์ต่างๆ จึงเป็นสิ่งสำคัญ บริษัทรับทำเว็บไซต์มืออาชีพจะช่วยให้เว็บไซต์ของคุณ Responsive รองรับการใช้งานบนทุกอุปกรณ์

3. โหลดเร็ว และมีประสิทธิภาพ

นอกจากการออกแบบที่สวยงามแล้ว ความเร็วในการโหลดเว็บไซต์ก็เป็นปัจจัยสำคัญ เพราะผู้ใช้งานมักไม่อดทนรอเว็บไซต์ที่โหลดช้า บริษัทรับทำเว็บไซต์มืออาชีพจะมีเทคนิคในการปรับแต่งให้เว็บไซต์ของคุณโหลดเร็ว และทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ

4. เชื่อมต่อกับระบบหลังบ้านได้

หากคุณต้องการให้เว็บไซต์เชื่อมต่อกับระบบต่างๆ เช่น ระบบจัดการสินค้า ระบบชำระเงิน หรือระบบสมาชิก การจ้างบริษัทรับทำเว็บไซต์มืออาชีพจะช่วยให้การผสานระบบเข้ากับเว็บไซต์เป็นไปอย่างราบรื่น และมีประสิทธิภาพสูงสุด

5. เน้นการทำ SEO

การทำ SEO เป็นสิ่งจำเป็นเพื่อให้เว็บไซต์ของคุณติดอันดับต้นๆ ในผลการค้นหาของ Google บริษัทรับทำเว็บไซต์มืออาชีพจะช่วยวางโครงสร้างเว็บไซต์ ใส่ Keywords ที่เหมาะสม และปรับแต่งองค์ประกอบต่างๆ เพื่อเพิ่มโอกาสในการติดอันดับที่ดี นำมาซึ่งการเข้าถึงกลุ่มลูกค้าเป้าหมายได้มากขึ้น

6. รองรับการขยายตัวในอนาคต

เมื่อธุรกิจของคุณเติบโต เว็บไซต์ก็ต้องพร้อมรองรับการขยายตัวไปด้วย บริษัทรับทำเว็บไซต์มืออาชีพจะวางแผนและพัฒนาเว็บไซต์ให้รองรับการเพิ่มเติมเนื้อหา ฟีเจอร์ใหม่ๆ รวมถึงรองรับปริมาณผู้ใช้งานที่เพิ่มขึ้นในอนาคต

7. ได้รับการสนับสนุนหลังการขาย

แม้เว็บไซต์จะเสร็จสมบูรณ์แล้ว แต่ปัญหาต่างๆ อาจเกิดขึ้นได้เสมอ การจ้างบริษัทรับทำเว็บไซต์มืออาชีพ คุณจะได้รับการสนับสนุนและช่วยเหลือแก้ไขปัญหาต่างๆ ที่อาจเกิดขึ้นภายหลังอย่างรวดเร็ว ทำให้เว็บไซต์ของคุณสามารถใช้งานได้อย่างราบรื่นตลอดเวลา

8. คุ้มค่าในระยะยาว

แม้การจ้างบริษัทรับทำเว็บไซต์มืออาชีพอาจมีค่าใช้จ่ายสูงกว่าการทำเองในระยะสั้น แต่เมื่อคิดถึงคุณภาพ ประสิทธิภาพ และการสนับสนุนระยะยาวที่ได้รับแล้ว การลงทุนกับบริษัทมืออาชีพถือเป็นความคุ้มค่าอย่างแน่นอน

9. มีทีมงานมืออาชีพคอยให้คำปรึกษา

บริษัทรับทำเว็บไซต์มืออาชีพจะมีทีมงานผู้เชี่ยวชาญด้านต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นโปรแกรมเมอร์ นักออกแบบ นักการตลาดออนไลน์ ที่พร้อมให้คำแนะนำในการพัฒนาเว็บไซต์ให้ตอบโจทย์ธุรกิจของคุณมากที่สุด

10. ประหยัดเวลาและมีเวลาโฟกัสกับธุรกิจ

การรับทำเว็บไซต์เป็นงานที่ต้องใช้ความรู้ ทักษะ และเวลามาก หากคุณจ้างบริษัทมืออาชีพมารับผิดชอบในส่วนนี้ คุณจะมีเวลามากขึ้นในการโฟกัสไปกับการบริหารจัดการ และพัฒนาธุรกิจของคุณ ซึ่งจะส่งผลดีต่อการเติบโตในระยะยาว

‍

ในยุคดิจิทัลที่การแข่งขันทางธุรกิจสูงขึ้น การมีเว็บไซต์เป็นของตัวเองกลายเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งสำหรับธุรกิจยุคใหม่ รับทำเว็บไซต์ จึงเป็นบริการที่ได้รับความนิยมอย่างมาก เพราะช่วยสร้างตัวตนให้กับแบรนด์ เพิ่มความน่าเชื่อถือ และเข้าถึงลูกค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ

เว็บไซต์ช่วยสร้างความน่าเชื่อถือให้กับแบรนด์

การมีเว็บไซต์เป็นของตัวเองช่วยสร้างความน่าเชื่อถือให้กับแบรนด์ได้เป็นอย่างดี เพราะแสดงให้เห็นถึงความจริงจังและมืออาชีพในการทำธุรกิจ เมื่อลูกค้าเข้ามาเยี่ยมชมเว็บไซต์ จะเห็นข้อมูลสินค้าและบริการ รวมถึงรายละเอียดต่างๆ ของแบรนด์ ซึ่งช่วยสร้างความมั่นใจให้กับลูกค้าได้

เว็บไซต์ช่วยเพิ่มโอกาสทางการตลาด

การมีเว็บไซต์ช่วยเพิ่มโอกาสในการเข้าถึงลูกค้ากลุ่มเป้าหมายได้มากขึ้น เพราะสามารถใช้เป็นช่องทางในการประชาสัมพันธ์สินค้าและบริการ รวมถึงโปรโมชั่นต่างๆ ได้ตลอด 24 ชั่วโมง นอกจากนี้ยังสามารถเชื่อมต่อกับโซเชียลมีเดียต่างๆ เพื่อเพิ่มการมีส่วนร่วมและสร้างฐานลูกค้าได้อีกด้วย

เว็บไซต์ช่วยประหยัดต้นทุนในระยะยาว

แม้ว่าการรับทำเว็บไซต์จะมีค่าใช้จ่ายในช่วงแรก แต่เมื่อเทียบกับการลงโฆษณาในสื่อต่างๆ แล้ว การมีเว็บไซต์จะช่วยประหยัดต้นทุนในระยะยาวได้มากกว่า เพราะสามารถอัปเดตข้อมูลและประชาสัมพันธ์สินค้าได้ตลอดเวลา โดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม ซึ่งคุ้มค่ากว่าในระยะยาว

‍

ในยุคดิจิทัลนี้ การมีเว็บไซต์เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับธุรกิจทุกประเภท เพื่อเพิ่มโอกาสในการเข้าถึงลูกค้าและสร้างความน่าเชื่อถือให้กับแบรนด์ แต่การเลือกบริษัทรับทำเว็บไซต์ที่เหมาะสมอาจเป็นเรื่องท้าทาย บทความนี้จะแนะนำเคล็ดลับในการเลือกบริษัทรับทำเว็บไซต์ให้ตรงกับความต้องการของธุรกิจคุณ

1. พิจารณาประสบการณ์และผลงานของบริษัท

เมื่อเลือกบริษัทรับทำเว็บไซต์ ควรพิจารณาประสบการณ์และผลงานที่ผ่านมาของบริษัท ดูว่าเคยทำเว็บไซต์ในสไตล์ที่คุณต้องการหรือไม่ และคุณภาพของผลงานเป็นอย่างไร นอกจากนี้ ให้ตรวจสอบความคิดเห็นและรีวิวจากลูกค้ารายอื่นๆ เพื่อประเมินความน่าเชื่อถือของบริษัท

2. ตรวจสอบบริการและแพ็กเกจที่นำเสนอ

บริษัทรับทำเว็บไซต์แต่ละแห่งมีบริการและแพ็กเกจที่แตกต่างกัน บางบริษัทอาจเน้นการออกแบบ ในขณะที่บางแห่งเน้นด้านการพัฒนาและฟังก์ชันการใช้งาน ให้พิจารณาว่าบริการที่นำเสนอตรงกับความต้องการของคุณหรือไม่ และราคาเหมาะสมกับงบประมาณหรือเปล่า

3. สื่อสารกับทีมงานอย่างชัดเจน

การสื่อสารที่ดีเป็นกุญแจสำคัญในการทำงานร่วมกับบริษัทรับทำเว็บไซต์ ตรวจสอบว่าทีมงานเข้าใจความต้องการของคุณและสามารถตอบคำถามได้อย่างชัดเจน นอกจากนี้ ควรมีช่องทางการติดต่อที่สะดวก เช่น อีเมล โทรศัพท์ หรือแชท เพื่อให้การทำงานราบรื่นและมีประสิทธิภาพ

4. เลือกบริษัทที่ใช้เทคโนโลยีทันสมัย

ในการรับทำเว็บไซต์ ควรเลือกบริษัทที่ใช้เทคโนโลยีและเครื่องมือที่ทันสมัย เพื่อให้เว็บไซต์ของคุณมีประสิทธิภาพสูงสุด ตรวจสอบว่าบริษัทใช้ภาษาโปรแกรมและแพลตฟอร์มที่เป็นมาตรฐานและเหมาะสมกับธุรกิจของคุณ

5. พิจารณาบริการหลังการขาย

นอกจากการรับทำเว็บไซต์แล้ว บริการหลังการขายก็มีความสำคัญไม่แพ้กัน เลือกบริษัทที่มีบริการหลังการขายที่ดี เช่น การอัปเดตและบำรุงรักษาเว็บไซต์ การแก้ไขปัญหาทางเทคนิค และการให้คำแนะนำเพิ่มเติม เพื่อให้เว็บไซต์ของคุณทำงานได้อย่างราบรื่นในระยะยาว‍

ประสบการณ์การใช้งาน Webflow และ Wordpress ในมุมมองของการได้ลองใช้จริงทั้ง 2 เครื่องมือ จากประสบการณ์การทำเว็บไซต์ให้กับลูกค้ามากกว่า 50 ราย ตั้งแต่งบประมาณหลักแสนจนถึงหลักล้าน ผมคิดว่าทั้ง Webflow และ Wordpress ต่างก็มีข้อดีข้อเสียแตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับความต้องการและความถนัดของแต่ละคน

Wordpress นั้นเริ่มต้นมาจากการเป็นแพลตฟอร์มสำหรับเขียนบล็อก แต่ปัจจุบันได้พัฒนาไปไกลมาก สามารถปรับแต่งให้เป็นระบบที่ซับซ้อนได้ตามต้องการ แม้กระทั่งทำ e-commerce หรือเชื่อมต่อ API ขั้นสูงก็ทำได้ แต่ข้อเสียคือต้องพึ่งพา Plugin ต่างๆ ซึ่งมีค่าใช้จ่ายรายปี และการใช้ Third-party หลายตัวอาจทำให้เว็บไซต์ช้าลง ส่งผลเสียต่อ Pagespeed ได้ การทำให้ Wordpress ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด อาจต้องใช้วิธี Headless CMS ซึ่งต้องอาศัยความเชี่ยวชาญพอสมควร และยังมีข้อจำกัดในการออกแบบ Interaction อีกด้วย

ในทางกลับกัน Webflow นั้นให้อิสระในการออกแบบได้อย่างเต็มที่ สามารถทำได้ตามที่เราต้องการ โดยไม่จำเป็นต้องพึ่งพา Plugin ทำให้ไม่มีค่าใช้จ่ายแอบแฝง และลดค่าใช้จ่ายรายปีได้ ในแง่ของ Pagespeed และ SEO นั้น Webflow ทำได้ดีมาก จะเห็นได้จากเว็บไซต์ชื่อดังอย่าง Awwwards.com และเว็บไซต์ของ Apple เองก็ใช้ Webflow ในการพัฒนา แต่ค่าใช้จ่ายหลักของ Webflow จะอยู่ที่ค่าโฮสต์รายเดือน

อีกประเด็นที่น่าสนใจคือ เรื่องของความมั่นคงในการทำงานจริง กับ Wordpress เราต้องเลือกใช้โฮสต์ที่น่าเชื่อถือ เช่น AWS หรือ Digital Ocean แต่ถ้าวันหนึ่งเกิดปัญหาลูกค้าลืมชำระค่าเซิร์ฟเวอร์ หากเราชะล่าใจไม่ชำระยอดค้างทางผู้ให้บริการอาจลบข้อมูลทิ้งทันที แต่กับ Webflow ถึงแม้จะลืมจ่ายค่าเซิร์ฟเวอร์ไป 3 ปี เพียงแค่ล็อกอินเข้ามาชำระเงิน เว็บไซต์ก็จะกลับมาใช้งานได้เหมือนเดิม ที่สำคัญคือมีการ Backup แบบ Real-time ด้วย

‍

Webflow และ Wordpress เป็นสองแพลตฟอร์มยอดนิยมในการสร้างเว็บไซต์ที่มีความแตกต่างกันอย่างมาก ในบทความนี้ เราจะมาทำความรู้จักกับ Webflow ว่าคืออะไร และเหตุผลที่ทำไมหลายคนถึงเลือกใช้ Webflow แทน Wordpress

Webflow คืออะไร?

Webflow เป็นแพลตฟอร์มสร้างเว็บไซต์ที่ออกแบบมาเพื่อให้ผู้ใช้งานสามารถสร้างเว็บไซต์ที่สวยงามและใช้งานได้จริงโดยไม่จำเป็นต้องมีความรู้ด้านการเขียนโค้ด ด้วยระบบ visual drag-and-drop ที่ใช้งานง่าย ทำให้ผู้ใช้สามารถออกแบบหน้าเว็บได้อย่างอิสระและเห็นผลลัพธ์แบบเรียลไทม์ Webflow ยังมาพร้อมกับฟีเจอร์ที่ครบครันสำหรับการสร้างเว็บไซต์ ไม่ว่าจะเป็นระบบ CMS, Ecommerce, Animations และอื่นๆ อีกมากมาย ทำให้สามารถสร้างเว็บไซต์ได้หลากหลายรูปแบบตามความต้องการ

ทำไมถึงเลือกใช้ Webflow แทน Wordpress?

แม้ว่า Wordpress จะเป็นแพลตฟอร์มยอดนิยมที่ใช้กันอย่างแพร่หลาย แต่ก็มีข้อจำกัดหลายประการที่ทำให้หลายคนหันมาใช้ Webflow แทน ได้แก่

• Wordpress ต้องพึ่งพา Plugins จำนวนมากในการเพิ่มฟีเจอร์ต่างๆ ซึ่งอาจทำให้เว็บไซต์ทำงานช้าลง ในขณะที่ Webflow มีฟีเจอร์ Built-in ที่ครบครัน
• การออกแบบหน้าเว็บใน Wordpress มีข้อจำกัดค่อนข้างมาก ต้องใช้ทักษะการเขียนโค้ดในการปรับแต่ง ในขณะที่ Webflow ให้อิสระในการออกแบบได้เต็มที่ผ่านระบบ visual
• Wordpress มีความเสี่ยงด้านความปลอดภัยสูงกว่า เนื่องจากเป็นแพลตฟอร์มโอเพนซอร์ซ ในขณะที่ Webflow มีระบบรักษาความปลอดภัยในตัว
• Webflow มีระบบ Hosting และ Backup ในตัว ไม่ต้องกังวลเรื่องเซิร์ฟเวอร์ล่ม และข้อมูลหาย แตกต่างจาก Wordpress ที่ต้องจัดการ Hosting เอง

‍

สำหรับผมแล้ว Webflow ตอบโจทย์การทำงานของดิจิทัลเอเจนซี่ได้เป็นอย่างดี ทำให้ลูกค้าประทับใจ เราสามารถปรับแต่งระบบหลังบ้านให้ใช้งานง่าย ไม่ว่าจะออกแบบ User Journey แบบไหนก็ทำได้ หากวางโครงสร้างดีตั้งแต่แรก จะไม่มีปัญหาให้ปวดหัวภายหลัง แม้แต่เรื่องมัลแวร์ก็ไม่ต้องกังวล ถ้าคุณเป็น UX/UI Designer แล้วศึกษา Webflow อย่างตั้งใจ ก็สามารถทำเว็บให้ลูกค้าได้อย่างครบวงจรเลย

‍

ปิดท้ายด้วยการโฆษณาตัวเองสักหน่อย หากใครสนใจอยากสร้างเว็บไซต์ด้วย Webflow ลองติดต่อทีมงาน Vision x Brain ของเราดูนะครับ เรามีความพร้อมที่จะช่วยให้คุณสร้างเว็บไซต์ในฝันได้อย่างมืออาชีพ โดยเฉพาะงานที่เน้นการสร้างการรับรู้แบรนด์ เชื่อมือเราได้เลยครับ