🔥 แค่ 5 นาที เปลี่ยนมุมมองได้เลย

การตลาดแบบ Conversational: ใช้ Chatbot และ Live Chat ปิดการขายบนเว็บ

ยาวไป อยากเลือกอ่าน?

เว็บก็มี ทราฟฟิกก็มา...แต่ทำไมลูกค้า "แค่แวะมาดู" แล้วก็หายไป?

เจ้าของธุรกิจ, ทีมการตลาด, หรือแม้แต่เอเจนซี่ทุกคนเคยปวดหัวกับปัญหานี้ไหมครับ? เราทุ่มเททั้งเงินและเวลาทำ SEO, ยิงแอด, สร้างคอนเทนต์ จนมีคนเข้าเว็บไซต์มามากมาย แต่สุดท้าย...พวกเขาก็เป็นแค่ "ผู้เยี่ยมชม" ที่ผ่านมาแล้วก็ผ่านไป ไม่ได้ทิ้งข้อมูลติดต่อ, ไม่ได้กดสั่งซื้อ, หรือไม่ได้เริ่มบทสนทนาอะไรเลย มันเหมือนกับการเปิดหน้าร้านสวยหรู แต่ไม่มีพนักงานคอยต้อนรับหรือตอบคำถามลูกค้าสักคน ลองนึกภาพตามนะครับ ลูกค้าคนสำคัญของคุณกำลังดูหน้าสินค้าหรือบริการตอนสี่ทุ่ม เขามีคำถามเล็กๆ หนึ่งข้อที่ถ้าได้คำตอบ เขาพร้อมจะจ่ายเงินทันที! แต่...ช่องทางติดต่อมีแค่ฟอร์มที่เขียนว่า "จะติดต่อกลับภายใน 24 ชม." คุณว่าเขาจะรอไหมครับ? คำตอบคือ "ไม่" เขาจะปิดหน้าต่างนั้นทิ้ง แล้วโอกาสทางธุรกิจของคุณก็ลอยหายไปในอากาศแบบน่าเสียดายสุดๆ

Prompt สำหรับภาพประกอบ: ภาพวาดกราฟิกแสดงผู้ใช้งานกำลังยืนเกาหัวอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์ที่เปิดเว็บไซต์สวยงาม แต่ดูว่างเปล่าไม่มีปฏิสัมพันธ์ พร้อมมีเครื่องหมายคำถาม (?) ลอยอยู่เหนือหัว เพื่อสื่อถึงความสงสัยและความต้องการคำตอบที่ยังไม่ถูกเติมเต็ม

ทำไมลูกค้าถึง "ไม่อยากรอ" และปัญหาที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังคืออะไร?

ปัญหานี้ไม่ได้เกิดจากเว็บไซต์ของคุณไม่สวยหรือสินค้าไม่ดีครับ แต่เกิดจากการที่ "พฤติกรรมผู้บริโภค" เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง! ในยุคที่ทุกคนสื่อสารกันผ่านแชท เราคาดหวัง "ความเร็ว" และ "การตอบสนองทันที" ในทุกเรื่อง เว็บไซต์แบบดั้งเดิมที่ทำหน้าที่เหมือน "โบรชัวร์ออนไลน์" หรือ "ป้ายประกาศ" ที่สื่อสารทางเดียว (One-way communication) มันไม่ตอบโจทย์อีกต่อไปแล้วครับ การบังคับให้ลูกค้ากรอกฟอร์มยาวๆ แล้วรออีเมลตอบกลับ มันคือประสบการณ์ที่เชื่องช้าและน่าหงุดหงิด เหมือนกำลังคุยกับกำแพง ในขณะที่ลูกค้าคาดหวังประสบการณ์ที่เหมือนกับการ "ทักแชทไปคุยกับเพื่อน" นั่นคือเหตุผลว่าทำไมเว็บไซต์ที่มีแค่ข้อมูล แต่ขาด "บทสนทนา" จึงกลายเป็นจุดอ่อนที่ทำให้คุณสูญเสียลูกค้าไปโดยไม่รู้ตัว

Prompt สำหรับภาพประกอบ: ภาพเปรียบเทียบ 2 ฝั่ง ฝั่งซ้ายเป็นรูปนาฬิกาทรายและอีเมลที่ยังไม่ถูกเปิด สื่อถึงการรอคอยที่ช้าและน่าเบื่อ ฝั่งขวาเป็นรูปกล่องข้อความแชทที่เด้งขึ้นมาทันที สื่อถึงความรวดเร็วและการสื่อสารแบบ Real-time

ถ้าปล่อยให้เว็บ "เงียบ" ต่อไป จะเกิดอะไรขึ้นกับธุรกิจของคุณ?

การเพิกเฉยต่อช่องว่างในการสื่อสารนี้ไม่ใช่แค่การ "เสียโอกาส" นะครับ แต่มันคือการทำลายธุรกิจของคุณอย่างช้าๆ ผลกระทบที่ตามมานั้นรุนแรงกว่าที่คิด:

  • Conversion Rate ตกต่ำ: อัตราการเปลี่ยนผู้เข้าชมเป็นลูกค้าจะน้อยลงเรื่อยๆ เพราะอุปสรรคในการติดต่อมันสูงเกินไป
  • สูญเสีย Lead คุณภาพสูง: คนที่สนใจจริงๆ แต่มีคำถามด่วน จะหันไปหาคู่แข่งที่ตอบสนองได้เร็วกว่าทันที
  • สิ้นเปลืองงบการตลาด: เงินค่าโฆษณาที่คุณจ่ายไปเพื่อให้คนเข้าเว็บ ก็เหมือนการเทน้ำลงบนทราย เพราะคุณปิดการขายไม่ได้
  • ประสบการณ์ลูกค้าย่ำแย่: ลูกค้ารู้สึกว่าคุณไม่ใส่ใจ ไม่พร้อมให้บริการ ทำให้ภาพลักษณ์ของแบรนด์เสียหายอย่างประเมินค่าไม่ได้
  • ตามหลังคู่แข่ง: ในขณะที่คุณยังใช้ฟอร์มแบบเดิมๆ คู่แข่งของคุณที่ใช้ Chatbot หรือ Live Chat กำลังสร้างความสัมพันธ์และ "ฉกฉวย" ลูกค้าไปต่อหน้าต่อตา

การปล่อยให้เว็บไซต์ของคุณเป็นเพียง "โบรชัวร์เงียบๆ" ก็ไม่ต่างอะไรกับการปล่อยให้เรือรั่วโดยที่ไม่ทำอะไรเลย สุดท้ายมันก็จะจมลงอย่างแน่นอนครับ

Prompt สำหรับภาพประกอบ: ภาพกราฟิกแสดงเงิน (เหรียญและธนบัตร) กำลังไหลออกจากรูรั่วบนหน้าจอคอมพิวเตอร์ ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของเว็บไซต์ที่ไม่มี Conversational Marketing เพื่อสื่อถึงการสูญเสียงบประมาณและโอกาสทางธุรกิจ

ทางออกที่ใช่: เปลี่ยน "ผู้เยี่ยมชม" ให้เป็น "บทสนทนา" ด้วย Conversational Marketing

ทางแก้ที่ตรงจุดและทรงพลังที่สุดคือการนำกลยุทธ์ "การตลาดเชิงสนทนา" (Conversational Marketing) เข้ามาใช้ครับ มันคือการเปลี่ยนเว็บไซต์ของคุณจาก "ผู้ประกาศ" ให้กลายเป็น "ผู้สนทนา" ที่ชาญฉลาด ผ่านเครื่องมืออย่าง Chatbot และ Live Chat เพื่อสร้างปฏิสัมพันธ์, ตอบคำถาม, และนำทางลูกค้าแบบ Real-time เหมือนมีพนักงานขายมือดีคอยสแตนด์บาย 24 ชั่วโมง แล้วควรจะเริ่มจากตรงไหนดีล่ะ? ไม่ต้องคิดใหญ่เกินตัวครับ เริ่มจากก้าวเล็กๆ เหล่านี้:

  • 1. กำหนดเป้าหมายที่ชัดเจน: คุณต้องการใช้ Chatbot เพื่ออะไร? ตอบคำถามที่พบบ่อย (FAQ), เก็บข้อมูล Lead, นัดประชุม, หรือนำเสนอสินค้า? เลือกมา 1 อย่างที่สำคัญที่สุดก่อน
  • 2. เลือกหน้าที่เหมาะสมที่สุด: เริ่มต้นแค่หน้าเดียวก่อน! เลือกหน้าที่มีทราฟฟิกสูงและลูกค้ามักจะมีคำถาม เช่น หน้าแรก, หน้า ราคา (Pricing), หรือหน้าสินค้า/บริการหลัก
  • 3. ออกแบบบทสนทนา (Chat Flow): ร่างบทสนทนาง่ายๆ ว่าถ้าลูกค้าเข้ามาจะทักทายว่าอะไร? จะมีปุ่มให้เลือกตอบอะไรบ้าง? เช่น "ดูสินค้าแนะนำ", "ขอใบเสนอราคา", "คุยกับเจ้าหน้าที่"
  • 4. เลือกเครื่องมือที่เหมาะสม: มีเครื่องมือมากมายทั้งแบบฟรีและเสียเงิน ลองดูข้อมูลจากผู้ให้บริการชั้นนำอย่าง Drift หรือ Intercom เพื่อทำความเข้าใจหลักการ
  • 5. วัดผลและปรับปรุง: หลังจากเปิดใช้งาน ลองเข้าไปดูบทสนทนาที่เกิดขึ้นจริง แล้วนำมาปรับปรุงคำตอบและ Chat Flow ให้ดีขึ้นเรื่อยๆ หากต้องการระบบที่ซับซ้อนขึ้น การมี ผู้เชี่ยวชาญด้าน Automation มาช่วยวางระบบก็เป็นทางเลือกที่ยอดเยี่ยมครับ

Prompt สำหรับภาพประกอบ: ภาพอินโฟกราฟิกง่ายๆ แสดง 4 ขั้นตอนหลักในการเริ่มต้นทำ Conversational Marketing: 1. Goal (ไอคอนเป้าธนู) 2. Page (ไอคอนหน้าเว็บ) 3. Flow (ไอคอนแผนผัง) 4. Measure (ไอคอนกราฟ)

ตัวอย่างจากของจริง: เมื่อ "คลินิกเสริมความงาม" เพิ่มยอดนัดหมาย 200% ด้วย Chatbot

ลองนึกภาพตามนะครับ มีคลินิกเสริมความงามแห่งหนึ่งที่มีเว็บไซต์สวยงามและยิงแอด Facebook เพื่อดึงคนเข้ามาดูโปรโมชั่น "ปัญหา" คือ ลูกค้าส่วนใหญ่ทักเข้ามาทาง Inbox ตอนดึกๆ หรือช่วงที่แอดมินไม่ว่างตอบ ทำให้เสียโอกาสในการนัดหมายไปเยอะมาก ทีมงานจึงตัดสินใจนำ Chatbot เข้ามาใช้บนหน้าโปรโมชั่นของเว็บไซต์

ปัญหาเดิม: ลูกค้าเห็นแอด > เข้าเว็บ > มีคำถามเรื่องราคา, คิวว่าง, การเตรียมตัว > ส่งข้อความทิ้งไว้ใน Inbox หรือปิดเว็บไปเลย > แอดมินมาเห็นอีกทีตอนเช้า ลูกค้าก็เปลี่ยนใจไปแล้ว

วิธีแก้ด้วย Conversational Marketing: ลูกค้าเห็นแอด > เข้าเว็บ > Chatbot เด้งขึ้นมาทักทาย "สวัสดีค่ะ สนใจโปรโมชั่นไหนเป็นพิเศษคะ? สอบถามข้อมูลหรือเช็คคิวว่างได้เลยค่ะ" พร้อมมีปุ่มให้เลือก เช่น "รายละเอียดโปรฯ หน้าเรียว", "ขอดูรีวิว", "เช็คคิวว่าง" เมื่อลูกค้ากด "เช็คคิวว่าง" บอทก็จะถามสาขาที่สะดวกและแสดงวันเวลาที่ว่างให้เลือกจองได้ทันที หากเป็นคำถามที่ซับซ้อน บอทจะขอข้อมูลติดต่อเพื่อให้เจ้าหน้าที่รีบโทรกลับในวันทำการถัดไป

ผลลัพธ์ที่น่าทึ่ง: ภายใน 3 เดือน คลินิกสามารถเพิ่ม "ยอดคอนเฟิร์มนัดหมาย" ผ่านเว็บไซต์ได้ถึง 200%! ลดภาระงานแอดมินในการตอบคำถามซ้ำๆ และสร้างประสบการณ์ที่น่าประทับใจให้ลูกค้าเพราะได้รับคำตอบทันที นี่คือพลังของการเปลี่ยนผู้เยี่ยมชมให้กลายเป็นบทสนทนาที่นำไปสู่การปิดการขายได้จริงๆ ซึ่งเป็นหลักการสำคัญของการสร้าง เว็บไซต์คลินิกที่ช่วยเพิ่มจำนวนคนไข้ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

Prompt สำหรับภาพประกอบ: ภาพ Before & After ของสมุดนัดหมายลูกค้า ฝั่ง Before มีคิวนัดหมายบางตา ฝั่ง After มีคิวนัดหมายเต็มแน่น พร้อมมีไอคอน Chatbot เล็กๆ อยู่มุมภาพ เพื่อสื่อถึงผลลัพธ์ที่จับต้องได้

Checklist 5 ขั้นตอน เริ่มใช้ Conversational Marketing ได้ทันที (ใช้ได้จริง!)

ถึงคิวของคุณแล้ว! มาเปลี่ยนเว็บไซต์ของคุณให้กลายเป็นเครื่องมือปิดการขาย 24 ชั่วโมง ด้วย Checklist ง่ายๆ ที่คุณนำไปทำตามได้ทันที:

  1. เลือก "หน้าเว็บ" ที่สำคัญที่สุด (1 หน้า): คุณอยากให้ลูกค้าคุยกับคุณที่หน้าไหนมากที่สุด? หน้าแรก? หน้าบริการ? หรือหน้าโปรโมชั่น? เลือกมาแค่ 1 หน้าเพื่อเริ่มต้น
  2. สร้าง "คำทักทายเปิดบทสนทนา" ที่ใช่: คำทักทายแรกสำคัญมาก ต้องเกี่ยวข้องกับเนื้อหาในหน้านั้นๆ เช่น
    - หน้าแรก: "สวัสดีครับ มีอะไรให้ Vision X Brain ช่วยเหลือไหมครับ?"
    - หน้าบริการ B2B: "สนใจโซลูชันไหนเป็นพิเศษครับ? ให้เราช่วยหาข้อมูลที่เหมาะกับธุรกิจคุณได้นะครับ"
    - หน้า ราคา: "มีคำถามเกี่ยวกับแพ็กเกจไหนไหมครับ? สอบถามได้เลย!"
  3. ออกแบบ "ทางเลือก" ให้ลูกค้าคลิก: อย่าถามคำถามปลายเปิด แต่ให้มี "ปุ่ม" ชัดเจน 2-3 ปุ่มนำทางลูกค้าไปต่อ เช่น "ดู Case Study", "ขอใบเสนอราคา", "ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ" การออกแบบ Call-to-Action ที่ดีคือหัวใจสำคัญ ลองศึกษาเพิ่มเติมจาก ตัวอย่าง Call-to-Action สำหรับธุรกิจ B2B
  4. กำหนดเงื่อนไข "ส่งต่อให้คน": ตั้งค่าว่าเมื่อไหร่ที่ Chatbot ควรจะหยุดคุยแล้วส่งต่อให้ทีมงาน เช่น เมื่อลูกค้าพิมพ์ว่า "คุยกับคน" หรือเมื่อบอทตอบคำถามไม่ได้ 2 ครั้งติดกัน เพื่อให้ลูกค้าได้รับประสบการณ์ที่ดีที่สุด
  5. เชื่อมต่อเพื่อ "เก็บ Lead": ตั้งค่าให้ Chatbot ส่งข้อมูลของลูกค้า (เช่น ชื่อ, อีเมล, เบอร์โทร) ที่ได้จากบทสนทนาไปยัง Google Sheets หรือ CRM ของคุณโดยอัตโนมัติ เพื่อให้ทีม Sales นำไปทำงานต่อได้ทันที

การลงมือทำตามนี้จะช่วยให้คุณเห็นผลลัพธ์ได้อย่างรวดเร็ว และหากคุณต้องการ ผู้เชี่ยวชาญมาช่วยเพิ่มประสิทธิภาพ Conversion Rate ให้กับเว็บไซต์ของคุณ นี่คือจุดเริ่มต้นที่ดีที่สุด

Prompt สำหรับภาพประกอบ: ภาพ Checklist ที่มี 5 ข้อ พร้อมไอคอนประกอบในแต่ละข้อ (ไอคอนหน้าเว็บ, กล่องแชท, ปุ่มตัวเลือก, ไอคอนรูปคน, ไอคอน CRM) เพื่อให้ดูเข้าใจง่ายและนำไปใช้ได้จริง

คำถามที่คนมักสงสัย (Q&A) เกี่ยวกับ Conversational Marketing

Q1: ใช้ Chatbot แล้วแบรนด์จะดูเหมือนหุ่นยนต์ ไม่มีชีวิตชีวาหรือเปล่า?
A: ไม่เลยครับ ถ้าออกแบบอย่างถูกต้อง! หน้าที่ของ Chatbot ที่ดีคือ "ผู้ช่วย" ไม่ใช่ "ผู้มาแทนที่" มันช่วยตอบคำถามง่ายๆ ได้อย่างรวดเร็วตลอด 24 ชม. และส่งต่อเรื่องยากๆ ให้มนุษย์ดูแลต่ออย่างราบรื่น การ "ให้ความช่วยเหลืออย่างรวดเร็ว" นี่แหละครับคือหัวใจของการบริการที่สร้างความประทับใจและดูเป็นมนุษย์ที่สุด

Q2: ต้องใช้ทีมงานเยอะไหมในการดูแล Live Chat?
A: ไม่จำเป็นต้องมีทีมใหญ่ครับ คุณสามารถเริ่มต้นได้ด้วยคนแค่ 1-2 คน หรือกำหนดช่วงเวลาชัดเจนในการให้บริการ Live Chat เช่น เฉพาะเวลา 10:00-17:00 น. และใช้ Chatbot ในการรับเรื่องนอกเวลาทำการ การมีคนตอบ 1 คนก็ยังดีกว่าไม่มีใครตอบเลย 100% ครับ

Q3: Chatbot จะสร้างความรำคาญให้ผู้ใช้งานเว็บไซต์ไหม?
A: อาจจะน่ารำคาญได้...ถ้าเราออกแบบให้มัน "ก้าวร้าว" เกินไป เคล็ดลับคือต้องเน้น "ให้ความช่วยเหลือ" ไม่ใช่ "ยัดเยียด" การขาย ควรตั้งค่าให้กล่องแชทแสดงขึ้นมาหลังจากผู้ใช้ดูหน้าเว็บไปแล้วสักพัก (เช่น 10-15 วินาที) หรือเมื่อเขากำลังจะออกจากเว็บ (Exit-Intent) และที่สำคัญคือต้องมีปุ่มให้ผู้ใช้สามารถปิดหน้าต่างแชทได้อย่างง่ายดาย

Q4: ระหว่าง Live Chat กับ Chatbot ควรเลือกใช้อะไรดี?
A: ขึ้นอยู่กับ "ทรัพยากร" และ "เป้าหมาย" ของคุณครับ
- Live Chat: เหมาะกับธุรกิจที่ต้องการสร้างความสัมพันธ์เชิงลึก ให้คำปรึกษาที่ซับซ้อน และมีทีมงานที่พร้อมจะพูดคุยกับลูกค้า
- Chatbot: เหมาะกับธุรกิจที่ต้องการตอบคำถามซ้ำๆ ตลอด 24 ชม., เก็บ Lead เบื้องต้น, หรือมีทีมงานจำกัด
- ทางออกที่ดีที่สุด (Hybrid): คือการใช้ Chatbot เป็นด่านหน้า และมีฟังก์ชันส่งต่อให้ Live Chat เมื่อจำเป็น นี่คือกลยุทธ์ที่เว็บไซต์ SaaS ชั้นนำนิยมใช้เพื่อการเติบโต ลองดูแนวคิดเพิ่มเติมได้จากบทความเกี่ยวกับ ฟีเจอร์เว็บไซต์ SaaS ที่ช่วยให้เติบโต

Prompt สำหรับภาพประกอบ: ภาพไอคอน 4 ตัววางเรียงกัน: 1. ไอคอนหุ่นยนต์ยิ้ม 2. ไอคอนคนกลุ่มเล็กๆ 3. ไอคอนรูประฆังแจ้งเตือนที่มีเครื่องหมายกากบาททับเบาๆ 4. ไอคอน Chatbot จับมือกับไอคอนคน เพื่อสื่อถึงคำตอบของแต่ละคำถาม

สรุป: ได้เวลาเปลี่ยนเว็บของคุณให้ "พูดได้" และ "ขายเป็น" แล้ว!

มาถึงตรงนี้ ผมเชื่อว่าทุกคนเห็นภาพชัดเจนแล้วว่า การปล่อยให้เว็บไซต์เป็นแค่ "ป้ายประกาศเงียบๆ" นั้นน่าเสียดายแค่ไหน หัวใจสำคัญของการตลาดยุคใหม่คือการเปลี่ยน "การสื่อสารทางเดียว" ให้กลายเป็น "บทสนทนาสองทาง" การนำ Conversational Marketing มาใช้ ไม่ใช่แค่การติดตั้งเครื่องมือใหม่ๆ แต่มันคือการเปลี่ยนวิธีคิด คือการแสดงให้ลูกค้าเห็นว่า "เราพร้อมที่จะรับฟังและช่วยเหลือคุณทันที"

อย่ารอให้โอกาสทางธุรกิจของคุณหลุดลอยไปอีกเลยครับ ลองเริ่มต้นวันนี้ แค่เลือก 1 หน้าเว็บ และติดตั้งเครื่องมือแชทง่ายๆ สักตัวเพื่อเริ่ม "พูดคุย" กับผู้เยี่ยมชมของคุณ การลงทุนเล็กๆ น้อยๆ ในวันนี้ อาจสร้างผลตอบแทนที่ยิ่งใหญ่กว่าที่คุณคาดคิดในวันพรุ่งนี้ก็ได้ เว็บไซต์ของคุณพร้อมที่จะเปลี่ยนจาก "ผู้เยี่ยมชม" ให้เป็น "ยอดขาย" แล้วหรือยัง?

ลงมือทำทันที! อย่าปล่อยให้ความลังเลขัดขวางการเติบโตของธุรกิจคุณ ลองนำ Checklist ที่เราให้ไปปรับใช้ หรือหากคุณต้องการ เรียนรู้ตัวอย่าง Call-to-Action เพิ่มเติม เพื่อทำให้บทสนทนาของคุณทรงพลังยิ่งขึ้น และถ้าอยากมีผู้เชี่ยวชาญที่พร้อมจะเปลี่ยนเว็บไซต์ของคุณให้เป็นเครื่องจักรปิดการขายด้วย Automation และ Conversion Rate Optimization...

คลิกที่นี่เพื่อปรึกษาทีม Vision X Brain ได้ฟรี! เราพร้อมเปลี่ยนทุกบทสนทนาของคุณให้กลายเป็นยอดขาย

Prompt สำหรับภาพประกอบ: ภาพกราฟิกที่ทรงพลัง แสดงหน้าจอคอมพิวเตอร์ที่มีบทสนทนาแชทเกิดขึ้น และมีลูกศรพุ่งออกมาจากหน้าจอ กลายเป็นกราฟยอดขายที่พุ่งสูงขึ้น สื่อถึงการเปลี่ยนบทสนทนาให้เป็นผลลัพธ์ทางธุรกิจที่เติบโต

แชร์

Recent Blog

"Mobile-First Indexing" ฉบับสมบูรณ์: ปรับเว็บองค์กรของคุณให้พร้อมสำหรับโลกที่ใช้มือถือเป็นหลัก

Google จัดอันดับจากเวอร์ชันมือถือแล้ว! คู่มือฉบับสมบูรณ์ในการปรับแต่งเว็บไซต์องค์กรของคุณให้ Mobile-Friendly ทั้งในด้านดีไซน์, ความเร็ว และเนื้อหา

SEO สำหรับธุรกิจให้เช่าเครื่องจักรก่อสร้าง: ครองอันดับ Local และดึงดูดผู้รับเหมารายใหญ่

เจาะตลาดผู้รับเหมา! กลยุทธ์ SEO เฉพาะทางสำหรับธุรกิจให้เช่าเครื่องจักร, เครน, และอุปกรณ์ก่อสร้าง ตั้งแต่การทำ Local SEO, Google Business Profile, ไปจนถึงหน้าสินค้า

"Progressive Web App (PWA)" สำหรับ E-Commerce: ประสบการณ์แบบแอป โดยไม่ต้องลงแอป

มอบประสบการณ์ที่รวดเร็วและลื่นไหลเหมือนแอป! ทำความรู้จัก Progressive Web App (PWA) และข้อดีของการนำมาใช้กับเว็บ E-Commerce เพื่อเพิ่ม Engagement และ Conversion