Blog

เครื่องมือทำเว็บไซต์

ความรู้ด้าน Digital  ที่ถูกกลั่นกรองและรวบรวมไว้แล้วในบทความของ Vision xBrain

เครื่องมือทำเว็บไซต์

Webflow คืออะไร? ทำไมไม่ใช้ Wordpress

แชร์ประสบการณ์การใช้จริงจากบริษัทดิจิทัลเอเจนซี่

ประสบการณ์การใช้งาน Webflow และ Wordpress ในมุมมองของการได้ลองใช้จริงทั้ง 2 เครื่องมือ จากประสบการณ์การทำเว็บไซต์ให้กับลูกค้ามากกว่า 50 ราย ตั้งแต่งบประมาณหลักแสนจนถึงหลักล้าน ผมคิดว่าทั้ง Webflow และ Wordpress ต่างก็มีข้อดีข้อเสียแตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับความต้องการและความถนัดของแต่ละคน

Wordpress นั้นเริ่มต้นมาจากการเป็นแพลตฟอร์มสำหรับเขียนบล็อก แต่ปัจจุบันได้พัฒนาไปไกลมาก สามารถปรับแต่งให้เป็นระบบที่ซับซ้อนได้ตามต้องการ แม้กระทั่งทำ e-commerce หรือเชื่อมต่อ API ขั้นสูงก็ทำได้ แต่ข้อเสียคือต้องพึ่งพา Plugin ต่างๆ ซึ่งมีค่าใช้จ่ายรายปี และการใช้ Third-party หลายตัวอาจทำให้เว็บไซต์ช้าลง ส่งผลเสียต่อ Pagespeed ได้ การทำให้ Wordpress ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด อาจต้องใช้วิธี Headless CMS ซึ่งต้องอาศัยความเชี่ยวชาญพอสมควร และยังมีข้อจำกัดในการออกแบบ Interaction อีกด้วย

ในทางกลับกัน Webflow นั้นให้อิสระในการออกแบบได้อย่างเต็มที่ สามารถทำได้ตามที่เราต้องการ โดยไม่จำเป็นต้องพึ่งพา Plugin ทำให้ไม่มีค่าใช้จ่ายแอบแฝง และลดค่าใช้จ่ายรายปีได้ ในแง่ของ Pagespeed และ SEO นั้น Webflow ทำได้ดีมาก จะเห็นได้จากเว็บไซต์ชื่อดังอย่าง Awwwards.com และเว็บไซต์ของ Apple เองก็ใช้ Webflow ในการพัฒนา แต่ค่าใช้จ่ายหลักของ Webflow จะอยู่ที่ค่าโฮสต์รายเดือน

อีกประเด็นที่น่าสนใจคือ เรื่องของความมั่นคงในการทำงานจริง กับ Wordpress เราต้องเลือกใช้โฮสต์ที่น่าเชื่อถือ เช่น AWS หรือ Digital Ocean แต่ถ้าวันหนึ่งเกิดปัญหาลูกค้าลืมชำระค่าเซิร์ฟเวอร์ หากเราชะล่าใจไม่ชำระยอดค้างทางผู้ให้บริการอาจลบข้อมูลทิ้งทันที แต่กับ Webflow ถึงแม้จะลืมจ่ายค่าเซิร์ฟเวอร์ไป 3 ปี เพียงแค่ล็อกอินเข้ามาชำระเงิน เว็บไซต์ก็จะกลับมาใช้งานได้เหมือนเดิม ที่สำคัญคือมีการ Backup แบบ Real-time ด้วย

Webflow และ Wordpress เป็นสองแพลตฟอร์มยอดนิยมในการสร้างเว็บไซต์ที่มีความแตกต่างกันอย่างมาก ในบทความนี้ เราจะมาทำความรู้จักกับ Webflow ว่าคืออะไร และเหตุผลที่ทำไมหลายคนถึงเลือกใช้ Webflow แทน Wordpress

Webflow คืออะไร?

Webflow เป็นแพลตฟอร์มสร้างเว็บไซต์ที่ออกแบบมาเพื่อให้ผู้ใช้งานสามารถสร้างเว็บไซต์ที่สวยงามและใช้งานได้จริงโดยไม่จำเป็นต้องมีความรู้ด้านการเขียนโค้ด ด้วยระบบ visual drag-and-drop ที่ใช้งานง่าย ทำให้ผู้ใช้สามารถออกแบบหน้าเว็บได้อย่างอิสระและเห็นผลลัพธ์แบบเรียลไทม์ Webflow ยังมาพร้อมกับฟีเจอร์ที่ครบครันสำหรับการสร้างเว็บไซต์ ไม่ว่าจะเป็นระบบ CMS, Ecommerce, Animations และอื่นๆ อีกมากมาย ทำให้สามารถสร้างเว็บไซต์ได้หลากหลายรูปแบบตามความต้องการ

ทำไมถึงเลือกใช้ Webflow แทน Wordpress?

แม้ว่า Wordpress จะเป็นแพลตฟอร์มยอดนิยมที่ใช้กันอย่างแพร่หลาย แต่ก็มีข้อจำกัดหลายประการที่ทำให้หลายคนหันมาใช้ Webflow แทน ได้แก่

  • Wordpress ต้องพึ่งพา Plugins จำนวนมากในการเพิ่มฟีเจอร์ต่างๆ ซึ่งอาจทำให้เว็บไซต์ทำงานช้าลง ในขณะที่ Webflow มีฟีเจอร์ Built-in ที่ครบครัน
  • การออกแบบหน้าเว็บใน Wordpress มีข้อจำกัดค่อนข้างมาก ต้องใช้ทักษะการเขียนโค้ดในการปรับแต่ง ในขณะที่ Webflow ให้อิสระในการออกแบบได้เต็มที่ผ่านระบบ visual
  • Wordpress มีความเสี่ยงด้านความปลอดภัยสูงกว่า เนื่องจากเป็นแพลตฟอร์มโอเพนซอร์ซ ในขณะที่ Webflow มีระบบรักษาความปลอดภัยในตัว
  • Webflow มีระบบ Hosting และ Backup ในตัว ไม่ต้องกังวลเรื่องเซิร์ฟเวอร์ล่ม และข้อมูลหาย แตกต่างจาก Wordpress ที่ต้องจัดการ Hosting เอง

สำหรับผมแล้ว Webflow ตอบโจทย์การทำงานของดิจิทัลเอเจนซี่ได้เป็นอย่างดี ทำให้ลูกค้าประทับใจ เราสามารถปรับแต่งระบบหลังบ้านให้ใช้งานง่าย ไม่ว่าจะออกแบบ User Journey แบบไหนก็ทำได้ หากวางโครงสร้างดีตั้งแต่แรก จะไม่มีปัญหาให้ปวดหัวภายหลัง แม้แต่เรื่องมัลแวร์ก็ไม่ต้องกังวล ถ้าคุณเป็น UX/UI Designer แล้วศึกษา Webflow อย่างตั้งใจ ก็สามารถทำเว็บให้ลูกค้าได้อย่างครบวงจรเลย

ปิดท้ายด้วยการโฆษณาตัวเองสักหน่อย หากใครสนใจอยากสร้างเว็บไซต์ด้วย Webflow ลองติดต่อทีมงาน Vision x Brain ของเราดูนะครับ เรามีความพร้อมที่จะช่วยให้คุณสร้างเว็บไซต์ในฝันได้อย่างมืออาชีพ โดยเฉพาะงานที่เน้นการสร้างการรับรู้แบรนด์ เชื่อมือเราได้เลยครับ

Tanakit Chaithip
May 12, 2024
# นาทีในการอ่าน