🔥 แค่ 5 นาที เปลี่ยนมุมมองได้เลย

วินิจฉัยและแก้ไข Render-Blocking Resources เพื่อเพิ่มคะแนน PageSpeed

ยาวไป อยากเลือกอ่าน?

เว็บสวย...แต่ช้า! ลูกค้าหายเกลี้ยง! คุณเคยปวดหัวกับปัญหานี้ไหมครับ? ลงทุนลงแรงทำเว็บไซต์ซะดิบดี แต่พอไปเช็คคะแนนใน Google PageSpeed Insights กลับเจอตัวหนังสือสีแดงเตือนว่า "Eliminate render-blocking resources" พร้อมกับคะแนนที่ไม่น่ารักเอาซะเลย มันคืออะไร? แล้วทำไมมันถึงเป็น "ตัวการ" สำคัญที่ฉุดรั้งให้เว็บของคุณไปไม่ถึงฝัน บทความนี้มีคำตอบแบบจับมือทำ ที่จะเปลี่ยนเว็บอืดๆ ของคุณให้เร็วติดจรวด!

ปัญหาที่เจอจริงในชีวิต

ลองจินตนาการตามนะครับ คุณกำลังจะเปิดร้านอาหารที่ตกแต่งอย่างสวยงาม (เว็บไซต์ของคุณ) ลูกค้ากำลังต่อแถวรอเข้าร้าน (Traffic ที่เข้ามา) แต่หน้าร้านกลับมีช่างทาสีกับช่างไฟฟ้ากำลังทำงานขวางประตูทางเข้าอยู่ (Render-Blocking Resources) แล้วบอกว่า "เดี๋ยวก่อน! รอให้เราทาสีผนังกับเดินสายไฟให้เสร็จก่อน ทุกคนถึงจะเข้าร้านได้" ลูกค้าจะทำยังไงครับ? แน่นอนว่าส่วนใหญ่โบกมือลาแล้วไปร้านอื่น! นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นเป๊ะๆ กับเว็บไซต์ของคุณครับ ผู้ใช้งาน โดยเฉพาะบนมือถือ ไม่อยากรอหรอกครับ แค่ 3-4 วินาทีที่เว็บโหลดไม่เสร็จ พวกเขาก็พร้อมจะกดปิดแล้วไปหาคู่แข่งของคุณทันที แล้วสิ่งที่ตามมาคือ Bounce Rate ที่พุ่งสูง, Conversion ที่ดิ่งลงเหว และที่แย่ที่สุดคือ Google ก็มองว่าเว็บของคุณประสบการณ์ไม่ดี อันดับก็ร่วงลงไปอีก นี่คือฝันร้ายของคนทำธุรกิจออนไลน์ชัดๆ

Prompt สำหรับภาพประกอบ: ภาพเปรียบเทียบ Before/After ของคะแนน Google PageSpeed Insights ก่อนและหลังแก้ปัญหา Render-Blocking Resources โดยฝั่ง Before มีคะแนนต่ำ (สีแดง) พร้อมไฮไลท์ที่คำว่า "Eliminate render-blocking resources" และฝั่ง After มีคะแนนสูง (สีเขียว)

ทำไมถึงเกิดปัญหานั้นขึ้น

เพื่อให้เห็นภาพชัดขึ้น เราต้องเข้าใจวิธีที่เบราว์เซอร์ (เช่น Chrome, Safari) "สร้าง" หน้าเว็บของคุณขึ้นมาครับ เมื่อมีคนเข้ามาที่เว็บของคุณ เบราว์เซอร์จะเริ่มจากการอ่านโค้ด HTML ซึ่งเปรียบเสมือน "พิมพ์เขียว" ของบ้านทั้งหลัง มันจะอ่านไปทีละบรรทัดจากบนลงล่าง แต่เมื่อไหร่ก็ตามที่มันเจอคำสั่งให้ไปโหลดไฟล์ CSS (ไฟล์สไตล์ชีทที่บอกว่าเว็บหน้าตาเป็นยังไง) หรือ JavaScript (ไฟล์สคริปต์ที่ทำให้เว็บมีลูกเล่นต่างๆ) ที่ขวางอยู่กลางทาง มันจะ "หยุด" การสร้างบ้านทันที! มันจะทิ้งทุกอย่างแล้ววิ่งไปโหลดไฟล์นั้นๆ มาให้เสร็จก่อน แล้วถึงจะกลับมาสร้างบ้านต่อได้ การ "หยุดเพื่อรอ" นี่แหละครับที่เราเรียกว่า "Render-Blocking" หรือ ทรัพยากรที่ขัดขวางการแสดงผล พูดง่ายๆ คือไฟล์ CSS และ JavaScript ที่ไม่จำเป็นบางตัว กำลังขวางทาง ทำให้เบราว์เซอร์แสดงผลหน้าเว็บให้ผู้ใช้เห็นได้ช้าลงนั่นเอง สำหรับข้อมูลเชิงลึกทางเทคนิค คุณสามารถอ่านเพิ่มเติมได้จาก GTmetrix ซึ่งอธิบายเรื่องนี้ไว้ได้ดีมากครับ

Prompt สำหรับภาพประกอบ: ภาพ Infographic ง่ายๆ แสดงการทำงานของเบราว์เซอร์ เป็นเส้นตรงที่อ่าน HTML แล้วมีสัญลักษณ์ "Stop" สีแดงปรากฏขึ้นเมื่อเจอไฟล์ CSS และ JS ก่อนที่เส้นจะเดินต่อไปได้

ถ้าปล่อยไว้จะส่งผลยังไงบ้าง

การเมินเฉยต่อปัญหา Render-Blocking Resources ก็ไม่ต่างอะไรกับการปล่อยให้น้ำรั่วในบ้านครับ ตอนแรกอาจจะดูเล็กน้อย แต่ผลกระทบระยะยาวนั้นร้ายแรงกว่าที่คิดเยอะ:

  • ประสบการณ์ผู้ใช้ (UX) ย่ำแย่: ไม่มีใครชอบเว็บที่โหลดช้า โดยเฉพาะผู้ใช้มือถือที่ใจร้อนเป็นทุนเดิม พวกเขาจะรู้สึกหงุดหงิดและมองว่าแบรนด์ของคุณไม่เป็นมืออาชีพ ปัญหานี้มักเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้ เว็บไซต์คลินิกหรือธุรกิจบริการช้าจนลูกค้าหาย
  • อัตราตีกลับ (Bounce Rate) พุ่งสูง: ยิ่งเว็บโหลดช้า คนก็ยิ่งกดปิดทิ้งมากขึ้น ข้อมูลจาก Google ระบุว่าแค่เว็บโหลดช้าขึ้นจาก 1 เป็น 3 วินาที โอกาสที่คนจะกดออกก็เพิ่มขึ้นถึง 32% แล้ว!
  • คะแนน Core Web Vitals ตกต่ำ: ปัญหานี้ส่งผลโดยตรงกับค่า Largest Contentful Paint (LCP) ซึ่งเป็นหนึ่งในเมตริกสำคัญของ Core Web Vitals เมื่อค่า LCP ของคุณแย่ Google ก็จะมองว่าเว็บของคุณคุณภาพต่ำ
  • อันดับ SEO ร่วง: ตั้งแต่ปี 2021 ที่ Google นำ Page Experience มาเป็นปัจจัยในการจัดอันดับ เว็บที่ช้าและ UX ไม่ดี ก็มีโอกาสที่จะถูกลดอันดับลงอย่างมีนัยสำคัญ
  • สูญเสียรายได้และโอกาสทางธุรกิจ: ท้ายที่สุดแล้ว ผลกระทบทั้งหมดนี้ก็นำไปสู่สิ่งเดียวกัน คือ คุณกำลังสูญเสียลูกค้าและรายได้ไปให้กับคู่แข่งที่เว็บไซต์เร็วกว่านั่นเอง

Prompt สำหรับภาพประกอบ: ภาพกราฟแสดงความสัมพันธ์ระหว่างเวลาในการโหลดเว็บที่เพิ่มขึ้น กับ Bounce Rate ที่สูงขึ้นเป็นเส้นชัน พร้อมกับไอคอนหน้าบึ้งของลูกค้า

มีวิธีไหนแก้ได้บ้าง และควรเริ่มจากตรงไหน

ข่าวดีคือ ปัญหานี้แก้ไขได้ครับ! หลักการสำคัญคือ เราต้อง "จัดลำดับความสำคัญ" ใหม่ บอกเบราว์เซอร์ว่า "เฮ้! นายเอาเฉพาะสิ่งที่จำเป็นสุดๆ ไปแสดงผลให้ลูกค้าเห็นก่อนเลย ส่วนไอ้ที่ไม่รีบ เดี๋ยวค่อยโหลดทีหลังก็ได้" ซึ่งมีเทคนิคหลักๆ ดังนี้ครับ:

สำหรับไฟล์ JavaScript (JS):

  • ใช้ Attribute defer: นี่คือวิธีที่ง่ายและได้ผลดีที่สุดครับ แค่เราเติม defer เข้าไปในแท็ก <script> เบราว์เซอร์จะโหลดไฟล์ JS นั้นไปพร้อมๆ กับการสร้างหน้าเว็บ (ไม่หยุดรอ) และจะเริ่มทำงานก็ต่อเมื่อสร้างหน้าเว็บเสร็จแล้ว เหมาะกับสคริปต์ส่วนใหญ่ที่ไม่จำเป็นต้องทำงานทันที
  • ใช้ Attribute async: คล้ายกับ defer คือเบราว์เซอร์จะไม่หยุดรอเพื่อโหลด แต่จะทำงานทันทีที่โหลดเสร็จ ซึ่งอาจจะทำงานก่อนที่หน้าเว็บจะสร้างเสร็จก็ได้ เหมาะกับสคริปต์ที่ไม่เกี่ยวข้องกับส่วนอื่นๆ เลย เช่น สคริปต์ Tracking บางชนิด

สำหรับไฟล์ CSS:

  • Inline Critical CSS: นี่คือหัวใจสำคัญของการแก้ปัญหา CSS ครับ คือการ "ดึง" เอาเฉพาะโค้ด CSS ที่จำเป็นสำหรับการแสดงผล "ส่วนแรกของหน้าจอ" (Above-the-fold) มาใส่ไว้ในแท็ก <style> ในไฟล์ HTML โดยตรง
  • โหลด CSS ที่เหลือแบบไม่ Blocking: ส่วน CSS ที่เหลือ (สำหรับส่วนที่ต้องเลื่อนลงไปดู) เราจะใช้วิธีโหลดแบบพิเศษเพื่อให้มันไม่มาขวางการแสดงผลในตอนแรก
  • ใช้ Media Queries: สำหรับ CSS ที่ใช้เฉพาะบางอุปกรณ์ (เช่น สำหรับพิมพ์ หรือจอแบบพิเศษ) ให้ระบุเงื่อนไขด้วย attribute media เพื่อให้เบราว์เซอร์โหลดมาใช้เมื่อจำเป็นเท่านั้น

แล้วควรเริ่มจากตรงไหน? ง่ายที่สุดคือ เริ่มจากการไปที่ Google PageSpeed Insights แล้วใส่ URL ของคุณลงไปดูผลลัพธ์ก่อนเลยครับ มันจะฟ้องมาเป็นรายชื่อไฟล์เลยว่าตัวไหนคือ "ผู้ต้องหา"

Prompt สำหรับภาพประกอบ: Infographic เปรียบเทียบการโหลดแบบปกติ (Normal), Async, และ Defer ให้เห็นภาพว่าแต่ละแบบทำงานกับเส้นเวลา (timeline) ของการสร้างหน้าเว็บอย่างไร

ตัวอย่างจากของจริงที่เคยสำเร็จ

เพื่อให้เห็นภาพชัดเจนขึ้น ผมขอยกเคสของเว็บไซต์ E-commerce ร้านหนึ่งที่เคยเจอปัญหานี้อย่างหนัก เว็บไซต์ของพวกเขา โหลดช้ามากโดยเฉพาะบน Shopify คะแนน PageSpeed อยู่ที่ประมาณ 38 (สีแดง) และมีรายการ Render-Blocking Resources ยาวเป็นหางว่าว ลูกค้าจำนวนมากกดออกจากเว็บก่อนที่รูปสินค้าจะโหลดเสร็จด้วยซ้ำ

ภารกิจ: ทีมงานได้เข้าไปตรวจสอบและพบว่า ปัญหาหลักมาจาก App ของ Third-party จำนวนมากที่ติดตั้งเข้าไป ซึ่งแต่ละตัวก็เรียกใช้ไฟล์ JavaScript และ CSS ของตัวเอง ทำให้เกิดการ "รอคิว" โหลดนานมาก

วิธีแก้:

  1. ตรวจสอบและลบ App ที่ไม่จำเป็น: เริ่มจากการถอนการติดตั้งแอปที่ไม่ค่อยได้ใช้งานหรือมีฟังก์ชันทับซ้อนกันออกไป
  2. ใช้ defer กับ JavaScript: สคริปต์ของแอปที่เหลืออยู่และสคริปต์ของธีม ถูกเพิ่ม attribute defer เข้าไปทั้งหมด เพื่อไม่ให้มันขัดขวางการแสดงผลเริ่มต้น
  3. สร้างและ Inline Critical CSS: ทีมงานได้ใช้เครื่องมือสร้าง Critical CSS เพื่อดึงสไตล์ที่จำเป็นสำหรับ Header, เมนู, และ Hero Banner มาใส่ไว้ใน HTML โดยตรง
  4. โหลด CSS ที่เหลือแบบ Lazy-load: ไฟล์ CSS หลักของธีมถูกปรับให้โหลดหลังจากที่หน้าเว็บแสดงผลไปแล้ว

ผลลัพธ์: เพียงแค่สัปดาห์เดียวหลังจากปรับแก้ คะแนน PageSpeed Insights พุ่งจาก 38 ไปเป็น 89 (สีเหลืองเกือบเขียว) ค่า LCP ดีขึ้นกว่า 2.5 วินาที ที่สำคัญที่สุดคือ Bounce Rate ลดลง 18% และ Conversion Rate เพิ่มขึ้น 1.2% นี่คือผลลัพธ์ที่จับต้องได้ของการ "คืนความเร็ว" ให้กับเว็บไซต์อย่างแท้จริง ซึ่งเป็นหนึ่งในเป้าหมายหลักของ บริการ Ecommerce Optimization Audit ของเรา

Prompt สำหรับภาพประกอบ: ภาพ Before & After ของเว็บไซต์ E-commerce ที่ยกตัวอย่าง ฝั่งซ้ายคือเว็บที่โหลดช้า Element ต่างๆยังไม่ขึ้นดี ฝั่งขวาคือเว็บเดียวกันที่โหลดเร็ว แสดงผลสวยงาม พร้อมตัวเลข Conversion Rate ที่เพิ่มขึ้น

ถ้าอยากทำตามต้องทำยังไง (ใช้ได้ทันที)

พร้อมจะลงมือจัดการเจ้าตัวปัญหานี้แล้วใช่ไหมครับ? ทำตามขั้นตอนนี้ได้เลย:

ขั้นตอนที่ 1: หาตัวการให้เจอ

  • ไปที่ Google PageSpeed Insights
  • ใส่ URL เว็บไซต์ของคุณ แล้วกด "Analyze"
  • เลื่อนลงมาดูในส่วน "Opportunities" แล้วมองหาหัวข้อ "Eliminate render-blocking resources"
  • กดเปิดดูรายชื่อไฟล์ .js และ .css ที่เป็นปัญหาได้เลย

ขั้นตอนที่ 2: จัดการไฟล์ JavaScript (ทำง่ายกว่า)

  • สำหรับแต่ละไฟล์ .js ที่อยู่ในลิสต์ ให้คุณเข้าไปหาโค้ดที่เรียกใช้ไฟล์นั้นใน HTML ของเว็บคุณ
  • มันจะมีหน้าตาประมาณนี้: <script src="path/to/your/script.js"></script>
  • ให้คุณเติม defer เข้าไปในแท็ก กลายเป็น: <script src="path/to/your/script.js" defer></script>
  • ทำแบบนี้กับทุกสคริปต์ที่ PageSpeed แนะนำ (ยกเว้นสคริปต์ที่จำเป็นต้องทำงานด่วนจริงๆ ซึ่งมีน้อยมาก)

ขั้นตอนที่ 3: จัดการไฟล์ CSS (ซับซ้อนขึ้นเล็กน้อย)

หลักการคือเราจะแบ่ง CSS เป็น 2 ส่วน คือ "จำเป็นเร่งด่วน (Critical)" กับ "ที่เหลือ (Non-Critical)"

  1. สร้าง Critical CSS: ใช้เครื่องมือออนไลน์อย่าง Critical Path CSS Generator ใส่ URL ของคุณลงไป แล้วมันจะสร้างโค้ด CSS ส่วนที่จำเป็นให้
  2. นำ Critical CSS ไปแปะใน Head: คัดลอกโค้ดที่ได้จากขั้นตอนที่แล้ว ไปวางไว้ในส่วน <head> ของเว็บคุณ โดยใส่ไว้ในแท็ก <style> ... </style>
  3. ทำให้ไฟล์ CSS เดิมไม่ Block: หาแท็ก <link> ของไฟล์ CSS เดิมของคุณ แล้วปรับแก้ให้เป็นแบบนี้เพื่อหลอกเบราว์เซอร์ให้โหลดทีหลัง
    <link rel="stylesheet" href="path/to/your/styles.css" media="print" onload="this.media='all'">
    เทคนิคนี้จะบอกเบราว์เซอร์ว่า "นี่เป็นสไตล์สำหรับพิมพ์นะ (ไม่ต้องรีบโหลด)" แต่พอโหลดเสร็จ (onload) ก็ให้เปลี่ยนกลับมาใช้กับทุกอุปกรณ์ (all) เหมือนเดิม อ่านคำแนะนำเชิงลึกจาก Google Web.dev เพื่อทำความเข้าใจเพิ่มเติมได้ครับ

ข้อควรระวัง: ควรทดสอบการเปลี่ยนแปลงทั้งหมดในเว็บเวอร์ชันทดลอง (Staging) ก่อนนำขึ้นใช้งานจริงเสมอ เพื่อป้องกันเว็บพังครับ

Prompt สำหรับภาพประกอบ: ภาพหน้าจอที่แสดงขั้นตอนการใช้งาน Google PageSpeed Insights ชี้ไปที่ส่วน "Eliminate render-blocking resources" และวงกลมรายชื่อไฟล์ที่เป็นปัญหา

คำถามที่คนมักสงสัย และคำตอบที่เคลียร์

Q1: ใช้ defer กับ async ต่างกันยังไง ควรเลือกใช้อันไหน?A: ทั้งสองอย่างทำให้เบราว์เซอร์ไม่หยุดรอโหลดสคริปต์ แต่ต่างกันที่ "ลำดับการทำงาน" ครับ defer จะรอให้หน้าเว็บสร้างเสร็จก่อนแล้วถึงจะทำงาน (และจะรันตามลำดับที่เขียนไว้ในโค้ด) ซึ่งปลอดภัยและเหมาะกับสคริปต์ส่วนใหญ่ ส่วน async จะทำงานทันทีที่โหลดเสร็จ ไม่สนใจลำดับและไม่รออะไรทั้งนั้น เหมาะกับสคริปต์อิสระที่ไม่ยุ่งกับใคร เช่น Google Analytics ครับ ถ้าไม่แน่ใจ ให้เลือกใช้ defer ไว้ก่อนจะปลอดภัยที่สุดQ2: แก้ไขพวกนี้แล้วเว็บจะพังไหม?A: มีโอกาสครับ! โดยเฉพาะการใช้ defer หรือ async กับสคริปต์ที่ต้องทำงานสัมพันธ์กัน (เช่น สคริปต์ A ต้องรันก่อน สคริปต์ B) อาจทำให้บางฟังก์ชันของเว็บผิดเพี้ยนได้ ดังนั้น ย้ำอีกครั้งว่าต้องทดสอบใน Staging Site ก่อนเสมอ! ถ้าไม่มั่นใจหรือโค้ดซับซ้อน การให้ ผู้เชี่ยวชาญด้านการพัฒนาเว็บไซต์ ช่วยดูแลจะดีกว่าQ3: ทำไมบางไฟล์ถึงแก้ไม่ได้ โดยเฉพาะสคริปต์จากภายนอก?A: ถูกต้องครับ สคริปต์จาก Third-party เช่น Facebook Pixel, Google Tag Manager, หรือ Live Chat บางตัว เราไม่สามารถเข้าไปแก้ไขไฟล์ต้นทางของเขาได้ ทางที่ดีที่สุดคือพิจารณาว่าจำเป็นต้องใช้สคริปต์นั้นๆ จริงหรือไม่ หรือโหลดมันด้วยวิธีที่ส่งผลกระทบน้อยที่สุดเท่าที่เป็นไปได้

Q4: จำเป็นไหมที่ต้องได้คะแนน PageSpeed 100 เต็ม?A: ไม่จำเป็นเลยครับ เป้าหมายที่แท้จริงไม่ใช่ตัวเลข 100 แต่คือการทำให้ "ผู้ใช้งานรู้สึกว่าเว็บเร็ว" และมีคะแนน Core Web Vitals อยู่ในเกณฑ์ "ดี" (สีเขียว) การไล่ล่าคะแนน 100 อาจต้องแลกมากับการเสียฟังก์ชันบางอย่างไปโดยไม่จำเป็น ให้โฟกัสที่การปรับปรุงให้ผู้ใช้ได้รับประสบการณ์ที่ดีที่สุดก็เพียงพอแล้วครับ การทำ SEO ให้ติดหน้าแรกของ Google ก็ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่าง ไม่ใช่แค่ความเร็วอย่างเดียว

Prompt สำหรับภาพประกอบ: ไอคอนเครื่องหมายคำถามขนาดใหญ่ ล้อมรอบด้วยไอคอนเล็กๆ ที่สื่อถึง defer, async, เว็บพัง (broken code), และเลขคะแนน 100

สรุปให้เข้าใจง่าย + อยากให้ลองลงมือทำ

สรุปหัวใจสำคัญอีกครั้งนะครับ ปัญหา "Render-Blocking Resources" ก็คือการที่ไฟล์ CSS และ JavaScript ที่ไม่จำเป็น มาขวางทาง ทำให้เบราว์เซอร์แสดงผลหน้าเว็บได้ช้า ส่งผลเสียทั้งต่อประสบการณ์ผู้ใช้, อันดับ SEO, และยอดขายในที่สุด วิธีแก้ที่ดีที่สุดคือการ "จัดลำดับความสำคัญใหม่" ด้วยการใช้ defer กับไฟล์ JavaScript และใช้เทคนิค "Inline Critical CSS" เพื่อให้ผู้ใช้เห็นเนื้อหาส่วนแรกของเว็บได้เร็วที่สุด

การปรับปรุงความเร็วเว็บไซต์ไม่ใช่แค่เรื่องทางเทคนิค แต่เป็นการ "แสดงความเคารพ" ต่อเวลาอันมีค่าของผู้ใช้งานของคุณครับ เมื่อคุณทำให้เว็บเร็วขึ้น คุณกำลังสร้างความประทับใจแรกที่ดี และเปิดประตูต้อนรับลูกค้าให้เข้ามาสู่ธุรกิจของคุณได้ง่ายขึ้น

ตอนนี้เลยครับ! อย่ารอช้า ลองเอา URL ของคุณไปทดสอบใน Google PageSpeed Insights ดู แล้วเริ่มลงมือแก้ไขตามขั้นตอนที่เราแนะนำไปทีละสเต็ป ไม่แน่ว่าแค่การปรับแก้เล็กๆ น้อยๆ ในวันนี้ อาจจะเปลี่ยนผลลัพธ์ทางธุรกิจของคุณในวันพรุ่งนี้ได้อย่างไม่น่าเชื่อ!

หากคุณรู้สึกว่ามันซับซ้อนเกินไป หรืออยากให้ผู้เชี่ยวชาญเข้าช่วย "วินิจฉัยและผ่าตัด" เว็บไซต์ของคุณให้กลับมาเร็วติดสปีดอีกครั้ง ปรึกษาทีมงาน Vision X Brain ได้ฟรี! เราพร้อมเปลี่ยนเว็บที่ช้าให้กลายเป็นเครื่องมือทำเงินให้คุณครับ

Prompt สำหรับภาพประกอบ: ภาพกราฟิกที่ทรงพลัง รูปจรวดกำลังพุ่งทะยานออกจากหน้าจอคอมพิวเตอร์ที่แสดงผลคะแนน PageSpeed สีเขียว พร้อมข้อความ Call to Action "Boost Your Speed Now!"

แชร์

Recent Blog

สร้างเว็บสองภาษา (Bilingual) บน Webflow: ตัวเลือกและวิธีที่ดีที่สุด

เปรียบเทียบวิธีสร้างเว็บสองภาษาบน Webflow ระหว่างการใช้ Weglot, การทำหลายโฟลเดอร์, และวิธีอื่นๆ พร้อมข้อดีข้อเสียเพื่อการตัดสินใจที่ถูกต้อง

Digital PR: สร้าง Backlink คุณภาพสูงจากสื่อใหญ่ได้อย่างไร

กลยุทธ์การทำ Digital PR เพื่อให้แบรนด์ของคุณถูกพูดถึงและได้รับ Backlink จากเว็บไซต์ข่าวหรือสื่อออนไลน์ที่มี Authority สูง ซึ่งส่งผลดีอย่างมหาศาลต่อ SEO

Content Pruning: ตัดแต่งคอนเทนต์เก่าอย่างไรให้ SEO โดยรวมดีขึ้น

คู่มือการทำ Content Pruning หรือการ 'ตัดแต่ง' คอนเทนต์เก่าที่ไม่มีคุณภาพ (Low-performing content) ออกจากเว็บ เพื่อเพิ่ม Crawl Budget และดันให้คอนเทนต์ที่ดีมีอันดับสูงขึ้น