🔥 แค่ 5 นาที เปลี่ยนมุมมองได้เลย

Content Pruning: ตัดแต่งคอนเทนต์เก่าอย่างไรให้ SEO โดยรวมดีขึ้น

ยาวไป อยากเลือกอ่าน?

ทำคอนเทนต์ใหม่แทบตาย… แต่ทำไมเว็บไม่โต? อาการที่บอกว่าเว็บคุณต้อง “ตัดแต่งกิ่ง” ด่วน!

เคยรู้สึกแบบนี้ไหมครับ? ทีมของคุณขยันสร้างคอนเทนต์ใหม่ๆ ทุกสัปดาห์ บทความคุณภาพก็มี รูปก็สวย แต่ทำไม Traffic โดยรวมของเว็บไซต์ถึงยัง “นิ่งสนิท” อันดับคีย์เวิร์ดสำคัญๆ ก็ไม่ขยับไปไหนซะที เหมือนกำลังเติมน้ำลงในถังที่มองไม่เห็นรูรั่ว... ถ้าคุณกำลังเจอปัญหานี้อยู่ คุณไม่ได้เผชิญมันคนเดียวครับ และข่าวดีก็คือ “คนร้าย” อาจไม่ใช่คอนเทนต์ใหม่ที่คุณเพิ่งทำไป แต่เป็น “คอนเทนต์เก่า” ที่ถูกลืมและกำลังฉุดรั้งทั้งเว็บไซต์ของคุณอยู่เงียบๆ ถึงเวลาแล้วที่เราจะมาทำความรู้จักกับการ “ตัดแต่งกิ่ง” หรือ Content Pruning ศิลปะการดูแลสวนหลังบ้าน (เว็บไซต์) ของคุณให้กลับมางอกงามอีกครั้ง!

[Prompt สำหรับภาพประกอบ: ภาพกราฟิกเปรียบเทียบระหว่างสวนที่รกทึบ มีกิ่งไม้แห้งตายเต็มไปหมด กับสวนที่ถูกตัดแต่งอย่างสวยงาม โปร่ง โล่ง และต้นไม้กำลังออกดอกออกผล พร้อมข้อความโปรยว่า "เว็บรก...ทำคอนเทนต์ดีแค่ไหนก็ไม่โต"]

ทำไมเว็บยิ่งเก่ายิ่งอืด? เปิดสาเหตุที่คอนเทนต์เก่าฉุดรั้งเว็บคุณ

หลายคนเชื่อว่า “ยิ่งมีคอนเทนต์เยอะ ยิ่งดีกับ SEO” ซึ่งเคยเป็นความจริงในยุคหนึ่งครับ แต่สำหรับ Google ในปัจจุบัน (และอนาคต) ที่เน้นคุณภาพมากกว่าปริมาณ (Quality over Quantity) การมีคอนเทนต์เยอะแต่ไม่มีคุณภาพ หรือที่เรียกว่า “Content Bloat” กลับส่งผลเสียมากกว่าผลดี สาเหตุหลักๆ มีอยู่ 2-3 ข้อด้วยกันครับ

1. งบประมาณการคลานที่สูญเปล่า (Wasted Crawl Budget): ลองจินตนาการว่า Googlebot (โปรแกรมที่ Google ส่งมาเก็บข้อมูลเว็บ) คือบุรุษไปรษณีย์ที่มีเวลาจำกัดในแต่ละวัน ถ้าหมู่บ้านของคุณ (เว็บไซต์) มีบ้านร้าง (คอนเทนต์ไร้คุณภาพ) เยอะเกินไป เขาก็ต้องเสียเวลาไปกับบ้านร้างเหล่านั้น จนอาจไม่มีเวลาพอที่จะไปส่งจดหมายสำคัญที่บ้านหลังใหม่ๆ (คอนเทนต์ดีๆ) ของคุณครับ ผลคือคอนเทนต์ใหม่ๆ ที่ดีกลับถูก Index ช้า หรือไม่ถูกเก็บข้อมูลไปเลย

2. อำนาจของหัวข้อที่เจือจาง (Topical Authority Dilution): หากคุณอยากเป็นผู้เชี่ยวชาญเรื่อง “กาแฟ” แต่กลับมีบทความคุณภาพต่ำ, ข้อมูลซ้ำซ้อน, หรือบทความสั้นๆ เกี่ยวกับกาแฟเต็มไปหมด มันจะทำให้ Google สับสนและลดทอนความเป็นผู้เชี่ยวชาญของคุณลง สู้มีบทความ “ขั้นเทพ” แค่ไม่กี่บทความไม่ได้ด้วยซ้ำ การมีคอนเทนต์ที่อ่อนแอเยอะๆ จะไปหารเฉลี่ยคุณภาพโดยรวมของทั้งเว็บให้ต่ำลง

3. ประสบการณ์ผู้ใช้ที่ย่ำแย่ (Poor User Experience): เคยคลิกเข้าไปเจอข้อมูลที่เก่าเก็บตั้งแต่ 5 ปีที่แล้วไหมครับ? หรือเจอหน้าเว็บที่มีเนื้อหาแค่ 2 ย่อหน้า? ประสบการณ์เหล่านี้สร้างความรู้สึกที่ไม่ดีต่อผู้ใช้ และส่งสัญญาณลบ (เช่น Bounce Rate สูง) กลับไปให้ Google ซึ่งกระทบต่อความน่าเชื่อถือ (E-E-A-T) และอันดับของเว็บไซต์โดยตรง

[Prompt สำหรับภาพประกอบ: ภาพ Infographic ง่ายๆ แสดง Googlebot กำลังเดินหลงทางอยู่ในเขาวงกตที่เต็มไปด้วยหน้าเว็บที่ขึ้นสัญลักษณ์ "Outdated" และ "Low Quality" ทำให้ไปไม่ถึงหน้าเว็บ "High Quality" ที่อยู่ตรงกลาง]

ปล่อยเว็บรกไว้ไม่จัดการ… หายนะที่รออยู่ปลายทาง

การเพิกเฉยต่อคอนเทนต์เก่าที่ไม่มีประสิทธิภาพ ก็เหมือนการปล่อยให้กิ่งไม้ที่ตายแล้วเกาะอยู่บนต้นไม้ครับ ไม่เพียงแค่ดูไม่สวยงาม แต่มันยังส่งผลร้ายลึกกว่าที่คิด ถ้าปล่อยทิ้งไว้ สิ่งที่จะตามมาคือ:

  • อันดับของคอนเทนต์ดีๆ ก็ร่วงไปด้วย: คอนเทนต์คุณภาพต่ำจำนวนมากจะไป “ถ่วง” คะแนนโดยรวมของเว็บไซต์ ทำให้บทความดีๆ ที่คุณตั้งใจทำ ไม่สามารถทำอันดับได้ดีเท่าที่ควร เพราะถูกมองว่าเป็นส่วนหนึ่งของเว็บที่ไม่มีคุณภาพ
  • เสียโอกาสทางธุรกิจมหาศาล: ผู้ใช้ที่เข้ามาเจอข้อมูลเก่า, 404 Not Found, หรือหน้าที่ไม่มีประโยชน์ พวกเขาก็จะจากไปทันทีและอาจไม่กลับมาอีกเลย คุณจะสูญเสียทั้ง Traffic, ความน่าเชื่อถือ, และโอกาสในการเปลี่ยนพวกเขาให้เป็นลูกค้า
  • เกิดปัญหาคีย์เวิร์ดกินกันเอง (Keyword Cannibalization): การมีบทความหลายชิ้นที่พูดถึงเรื่องคล้ายๆ กัน (เช่น “วิธีทำกาแฟดริป” กับ “ขั้นตอนการดริปกาแฟ”) จะทำให้ Google สับสนว่าควรจะจัดอันดับให้หน้าไหนดี สุดท้ายก็ไม่มีหน้าไหนได้อันดับดีเลยสักหน้า
  • แบรนด์ดูไม่น่าเชื่อถือ: เว็บไซต์ที่เต็มไปด้วยข้อมูลที่ล้าสมัยและหน้าเว็บที่ใช้งานไม่ได้ สะท้อนถึงความไม่ใส่ใจและขาดความเป็นมืออาชีพ ทำลายความไว้วางใจที่ลูกค้ามีต่อแบรนด์ของคุณ

การปล่อยให้เว็บรกจึงไม่ใช่แค่เรื่องของความสวยงาม แต่เป็นเรื่องที่ส่งผลกระทบโดยตรงต่อสุขภาพ SEO และเป้าหมายทางธุรกิจของคุณเลยทีเดียวครับ

[Prompt สำหรับภาพประกอบ: ภาพกราฟที่แสดงให้เห็นเส้นกราฟ SEO Traffic ค่อยๆ ดิ่งลง พร้อมกับมีไอคอนเล็กๆ เช่น หน้าบึ้งของผู้ใช้, แมงมุม (สัญลักษณ์ของ Googlebot) เดินหนี, และโล่ที่มีรอยร้าว (สัญลักษณ์ของ Trust) ประกอบ]

ทางออกอยู่นี่แล้ว! ศิลปะการ “ตัดแต่งกิ่ง” คอนเทนต์ และวิธีเริ่มต้นที่ถูกต้อง

ทางแก้ของปัญหานี้เรียบง่ายแต่ทรงพลังมากครับ นั่นคือ “Content Pruning” หรือ “การตัดแต่งกิ่งคอนเทนต์” มันคือกระบวนการตรวจสอบและประเมินคอนเทนต์ทุกชิ้นบนเว็บไซต์ของคุณอย่างเป็นระบบ แล้วตัดสินใจว่าจะจัดการกับมันอย่างไร เพื่อให้เหลือไว้แต่คอนเทนต์ที่แข็งแรงและมีคุณภาพจริงๆ โดยทั่วไป เราจะแบ่งการจัดการคอนเทนต์ออกเป็น 4 แนวทางหลักครับ

  • ปรับปรุง (Update/Improve): สำหรับคอนเทนต์ที่มีศักยภาพ (เช่น หัวข้อดียังมีคนค้นหา, มี Traffic เข้ามาบ้างแต่ไม่เยอะ) แต่ข้อมูลอาจจะเก่าไปแล้ว หรือเนื้อหายังไม่ลึกพอ เราจะทำการ “ยกเครื่อง” มันใหม่ให้สดใหม่และสมบูรณ์ยิ่งขึ้น
  • รวม (Consolidate/Merge): สำหรับบทความหลายๆ ชิ้นที่พูดเรื่องเดียวกันหรือคล้ายกันมากเกินไป เราจะนำเนื้อหาที่ดีที่สุดของแต่ละบทความมารวมกันเป็น “สุดยอดบทความ” (Ultimate Guide) เพียงบทความเดียว แล้วทำการ Redirect บทความเก่าๆ มายังบทความใหม่นี้
  • ตัดทิ้ง (Prune/Delete): สำหรับคอนเทนต์ที่ไม่มีประโยชน์อย่างแท้จริง เช่น ไม่มี Traffic เลย, ไม่มี Backlink, หัวข้อไม่เกี่ยวข้องกับธุรกิจแล้ว, หรือเป็นข่าวสารที่หมดอายุไปนานแล้ว เราจะทำการ “ลบ” ทิ้งไป แต่ที่สำคัญคือต้องทำ 301 Redirect ไปยังหน้าที่เกี่ยวข้องที่สุดเสมอ เพื่อไม่ให้เกิดหน้า 404
  • เก็บไว้ (Keep): สำหรับคอนเทนต์คุณภาพสูงที่ทำหน้าที่ของมันได้ดีอยู่แล้ว ก็ไม่ต้องทำอะไรกับมันครับ

แล้วจะเริ่มจากตรงไหนดี? คำตอบคือเริ่มจากการทำ “Content Audit” หรือการตรวจสอบสุขภาพคอนเทนต์ทั้งหมดครับ คุณต้องอาศัยข้อมูลเป็นหลัก ไม่ใช่ความรู้สึก โดยเครื่องมือสำคัญที่คุณต้องใช้คือ Google Analytics 4 เพื่อดูยอด Traffic และ Google Search Console เพื่อดูข้อมูลคีย์เวิร์ดและ Performance การเริ่มต้นทำความเข้าใจข้อมูลเหล่านี้คือจุดสตาร์ทที่สำคัญที่สุดครับ สำหรับใครที่อยากรู้ว่า Traffic ที่เห็นมาจากไหนบ้าง การศึกษา คู่มือการใช้งาน GA4 สำหรับธุรกิจ E-commerce จะช่วยให้คุณเห็นภาพชัดขึ้นมาก

[Prompt สำหรับภาพประกอบ: ภาพ Infographic แสดง 4 ไอคอนหลัก: 1.ไอคอนดินสอ (Update) 2.ไอคอนโซ่ที่เชื่อมกัน (Consolidate) 3.ไอคอนกรรไกร (Prune) 4.ไอคอนโล่ (Keep) พร้อมคำอธิบายสั้นๆ ของแต่ละแอ็กชัน]

เคสจริง: จากเว็บที่ถูกลืม สู่เว็บทำเงินด้วย Content Pruning

เพื่อให้เห็นภาพชัดขึ้น ผมขอยกตัวอย่างเคสของเว็บไซต์ “Bake Me Happy” ซึ่งเป็นเว็บสอนทำเบเกอรี่ออนไลน์ที่มีบทความสะสมอยู่กว่า 800 บทความ ตลอด 7 ปีที่ผ่านมาครับ

ปัญหาที่เจอ: แม้จะผลิตสูตรขนมใหม่ๆ ออกมาเรื่อยๆ แต่ Traffic รวมของเว็บกลับนิ่งมา 2 ปีแล้ว อันดับคีย์เวิร์ด “สอนทำเค้ก” ที่เคยอยู่หน้าแรกก็หล่นไปอยู่หน้าสาม บทความเก่าๆ กว่า 90% แทบไม่มีคนอ่านเลย (น้อยกว่า 10 view ต่อเดือน) ทำให้ทีมงานเริ่มหมดไฟ

กระบวนการ “ตัดแต่งกิ่ง”: ทีมงานตัดสินใจทำ Content Audit ครั้งใหญ่ พวกเขาพบว่ามีบทความสั้นๆ เกี่ยวกับ “วิธีทำบราวนี่” อยู่ถึง 15 บทความ! และมีบทความโปรโมชั่นที่หมดอายุไปแล้วกว่า 200 บทความ

  1. Prune: พวกเขาลบบทความโปรโมชั่นเก่าและบทความที่ไม่เกี่ยวข้อง 250 บทความทิ้ง และทำ 301 Redirect ไปยังหน้า Category ที่เกี่ยวข้อง
  2. Consolidate: บทความบราวนี่ทั้ง 15 บทความ ถูกนำมารวมกันเป็นสุดยอดบทความ “คู่มือทำบราวนี่ 5 สูตรลับให้อร่อยเหมือนเชฟ” ใน URL ที่แข็งแรงที่สุด แล้ว Redirect 14 URL ที่เหลือมาที่นี่
  3. Update: บทความเกี่ยวกับพื้นฐานการทำขนมอีก 100 บทความที่มี Traffic อยู่บ้าง ถูกนำมาปรับปรุงข้อมูลใหม่ เพิ่มวิดีโอ และรูปภาพที่สวยงามขึ้น

ผลลัพธ์ที่น่าทึ่ง: เพียง 4 เดือนหลังจากทำ Content Pruning เสร็จสิ้น Organic Traffic ของเว็บไซต์ “Bake Me Happy” เพิ่มขึ้นถึง 75%! สุดยอดบทความบราวนี่ติด Top 3 ในคีย์เวิร์ดหลัก และที่สำคัญ Googlebot เข้ามาเก็บข้อมูลสูตรขนมใหม่ๆ ได้เร็วขึ้นกว่าเดิมอย่างเห็นได้ชัด นี่คือพลังของการจัดการคอนเทนต์เก่าอย่างถูกวิธีครับ

[Prompt สำหรับภาพประกอบ: ภาพ Before & After ของเว็บไซต์ "Bake Me Happy" ด้านซ้ายเป็นภาพเว็บที่รก มีบทความเยอะแต่ดูไม่มีพลัง ด้านขวาเป็นเว็บที่ดูคลีนขึ้น มีบทความไฮไลต์ที่น่าสนใจ พร้อมกราฟ Traffic ที่พุ่งสูงขึ้นอย่างชัดเจน]

อยากทำตามต้องทำยังไง? Checklist 5 ขั้นตอนจับมือทำ Content Pruning

ตอนนี้คุณคงอยากลงมือทำกับเว็บของตัวเองแล้วใช่ไหมครับ? ลองทำตาม Checklist 5 ขั้นตอนนี้ได้เลย ไม่ซับซ้อนอย่างที่คิดครับ

ขั้นตอนที่ 1: ลิสต์ URL ทั้งหมดของคุณออกมา
ใช้เครื่องมืออย่าง Screaming Frog หรือดึงจาก Sitemap ของคุณ เพื่อลิสต์ URL ของบทความทั้งหมดออกมาใส่ใน Google Sheets หรือ Excel

ขั้นตอนที่ 2: รวบรวมข้อมูลสำคัญ (Metrics)
ในตารางที่คุณลิสต์ URL ไว้ ให้เพิ่มคอลัมน์สำหรับข้อมูลเหล่านี้ поแต่ละ URL:
- Pageviews (90 วันล่าสุด จาก Google Analytics 4)
- Clicks & Impressions (90 วันล่าสุด จาก Google Search Console)
- Backlinks (จากเครื่องมืออย่าง Ahrefs หรือ Semrush)
- Word Count (ใช้ Screaming Frog ช่วยนับได้)

ขั้นตอนที่ 3: วิเคราะห์และตัดสินใจ
ได้เวลาเป็นผู้ตัดสินแล้วครับ! ให้เพิ่มคอลัมน์ “Action” แล้วใส่การตัดสินใจ (Keep, Update, Consolidate, Prune) ลงไปในแต่ละ URL โดยใช้เกณฑ์ง่ายๆ เช่น:
- Prune: Pageviews = 0, Clicks = 0, Backlinks = 0
- Update: มี Pageviews/Clicks บ้าง, หัวข้อยังน่าสนใจแต่ข้อมูลเก่า
- Consolidate: มีหลาย URL ที่เนื้อหาคล้ายกันและติดอันดับคีย์เวิร์ดใกล้เคียงกัน การทำความเข้าใจเรื่อง Topic Clusters และ Pillar Pages จะช่วยให้คุณรวมกลุ่มคอนเทนต์ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
- Keep: มี Traffic และ Performance ที่ดีอยู่แล้ว

ขั้นตอนที่ 4: ลงมือ “ตัดแต่ง” อย่างระมัดระวัง
- สำหรับ Prune: ลบหน้านั้นทิ้ง แล้วไปที่ระบบหลังบ้านของเว็บคุณเพื่อตั้งค่า 301 Redirect จาก URL ที่ถูกลบ ไปยังหน้าที่ใกล้เคียงที่สุด (เช่น หน้า Category หรือบทความหลักที่เกี่ยวข้อง)
- สำหรับ Consolidate: เลือก URL ที่ดีที่สุดเป็นหน้าหลัก นำเนื้อหาจากหน้าที่เหลือมารวมและเกลาใหม่ จากนั้นลบหน้าที่เหลือทิ้งและทำ 301 Redirect มายังหน้าหลักที่สร้างขึ้นใหม่
- สำหรับ Update: ลงมือเขียนใหม่, เพิ่มข้อมูล, เปลี่ยนรูป, เพิ่ม Internal Link ไปยังบทความอื่นๆ และอย่าลืมเปลี่ยนวันที่ “Last Updated” เพื่อบอก Google ว่าบทความนี้สดใหม่แล้ว

ขั้นตอนที่ 5: แจ้งข่าวให้ Google ทราบ
หลังจากจัดการเสร็จแล้ว ให้ไปที่ Google Search Console แล้วทำการ Submit Sitemap ของคุณอีกครั้ง เพื่อเชิญให้ Googlebot เข้ามาสำรวจเว็บไซต์เวอร์ชันใหม่ที่ไฉไลกว่าเดิมของคุณ! สำหรับผู้ที่ต้องการข้อมูลเชิงลึกจริงๆ การวิเคราะห์ Log File จะทำให้เห็นเลยว่า Googlebot เข้ามาที่เว็บคุณบ่อยแค่ไหนหลังการเปลี่ยนแปลง

[Prompt สำหรับภาพประกอบ: ภาพ Checklist ขนาดใหญ่ แสดง 5 ขั้นตอนหลัก (List URLs, Gather Metrics, Analyze, Execute, Inform Google) พร้อมไอคอนประกอบแต่ละขั้นตอนที่เข้าใจง่าย]

คำถามที่คนมักสงสัย (FAQ) เกี่ยวกับ Content Pruning

Q1: ลบคอนเทนต์ทิ้งไปเลย อันดับจะตกไหม? กลัวมาก!
A: ถ้าลบแล้วปล่อยให้กลายเป็นหน้า 404 (Not Found) อันดับตกแน่นอนครับ! แต่ถ้าคุณทำ 301 Redirect อย่างถูกต้อง มันจะไม่ส่งผลเสียครับ การ Redirect คือการบอก Google ว่า “หน้านี้ไม่อยู่แล้วนะ แต่พลังและคุณค่าของมันทั้งหมด ได้ถูกย้ายไปที่ URL ใหม่นี้แทน” ซึ่งเป็นการรักษาสิ่งที่เรียกว่า Link Equity ไว้ครับ

Q2: ควรทำ Content Pruning บ่อยแค่ไหน?
A: ไม่จำเป็นต้องทำทุกเดือนครับ สำหรับเว็บไซต์ขนาดกลางถึงใหญ่ (มีหลายร้อยถึงพันบทความ) แนะนำให้ทำเป็นโปรเจกต์ใหญ่ปีละ 1 ครั้ง หรือทุกๆ 18 เดือน เพื่อเป็นการ “ทำความสะอาดครั้งใหญ่” ให้กับเว็บไซต์ครับ

Q3: มีคอนเทนต์ที่ไม่มี Traffic เลย แต่มี Backlink จากเว็บดีๆ ควรลบไหม?
A: ห้ามลบทิ้งเด็ดขาดครับ! Backlink คือสินทรัพย์ที่มีค่ามาก กรณีนี้คือตัวเลือกที่สมบูรณ์แบบสำหรับการ “Update” ครับ ให้คุณยกเครื่องเนื้อหาในหน้านั้นใหม่ทั้งหมด ทำให้มันดีที่สุด สมกับที่มี Backlink ดีๆ ชี้เข้ามา หรืออีกทางเลือกคือการ “Consolidate” โดยนำไปรวมกับบทความอื่นที่แข็งแรงกว่า แล้วทำ 301 Redirect จาก URL ที่มี Backlink ไปยังบทความใหม่นั้น เพื่อส่งต่อพลังของ Backlink ไปครับ

Q4: ไม่มีเครื่องมือ SEO แพงๆ จะทำ Content Pruning ได้ไหม?
A: ได้แน่นอนครับ! คุณสามารถใช้เครื่องมือฟรีอย่าง Google Analytics 4 และ Google Search Console เป็นหลักได้เลย ซึ่งก็ให้ข้อมูลที่ทรงพลังมากพอสำหรับการเริ่มต้นแล้วครับ แม้จะไม่มีข้อมูล Backlink ที่แม่นยำเท่าเครื่องมือเสียเงิน แต่แค่ข้อมูล Traffic และ Performance จาก Google ก็ช่วยให้คุณตัดสินใจเบื้องต้นได้ดีมากแล้วครับ

[Prompt สำหรับภาพประกอบ: ไอคอนรูปกล่องคำพูด (Speech Bubble) ขนาดใหญ่ พร้อมกับตัวอักษร "Q&A" อยู่ตรงกลาง และมีไอคอนเล็กๆ แทนคำถามต่างๆ ล้อมรอบ]

ได้เวลาเปลี่ยนเว็บรก ให้เป็นเว็บทำเงิน!

มาถึงตรงนี้ ผมเชื่อว่าคุณคงเห็นแล้วว่า Content Pruning ไม่ใช่แค่ “การลบ” แต่เป็น “การวางกลยุทธ์” เพื่อควบคุมคุณภาพของเว็บไซต์ทั้งหมด มันคือการยอมตัดกิ่งที่ตายแล้วทิ้งไป เพื่อให้สารอาหารทั้งหมดถูกส่งไปเลี้ยงกิ่งก้านที่แข็งแรงและพร้อมจะออกดอกออกผลให้เราครับ การมีคอนเทนต์น้อยลงแต่มีคุณภาพสูงขึ้น ย่อมดีกว่าการมีคอนเทนต์มากมายแต่เต็มไปด้วยหน้าที่ฉุดรั้งกันเอง

การลงทุนลงแรงกับการทำ Content Pruning ในวันนี้ คือการวางรากฐานที่แข็งแกร่งให้กับ SEO ในระยะยาว มันจะช่วยให้คอนเทนต์ใหม่ๆ ที่คุณตั้งใจทำในอนาคต สามารถแสดงศักยภาพของมันออกมาได้อย่างเต็มที่ โดยไม่มี “สัมภาระ” เก่าๆ มาถ่วงอีกต่อไป

อย่ารอช้าครับ! ลองเริ่มต้นง่ายๆ ด้วยการสำรวจ 10 บทความที่เก่าที่สุดและมี Performance แย่ที่สุดในเว็บของคุณดูก่อน แล้วคุณจะประหลาดใจกับโอกาสในการปรับปรุงที่ซ่อนอยู่ครับ ถึงเวลาเปลี่ยนเว็บไซต์ของคุณให้กลายเป็นเครื่องมือทางการตลาดที่ทรงพลังอย่างที่มันควรจะเป็นแล้ว!

หากการตรวจสอบและปรับปรุงเว็บไซต์ครั้งใหญ่ดูเป็นเรื่องที่ซับซ้อนและใช้เวลา ทีมผู้เชี่ยวชาญของเราพร้อมช่วยคุณครับ! ให้ Vision X Brain เข้าไปดูแลและ “ตัดแต่ง” เว็บไซต์ของคุณให้กลับมาแข็งแรงและพร้อมทำอันดับอีกครั้งด้วย บริการ Website Renovation ของเรา ปรึกษาเราได้เลยวันนี้!

[Prompt สำหรับภาพประกอบ: ภาพสุดท้ายที่สร้างแรงบันดาลใจ เป็นภาพนักการตลาดกำลังยืนยิ้มอย่างภาคภูมิใจอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์ที่แสดงกราฟ SEO พุ่งขึ้น พร้อมข้อความ Call to Action ว่า "Start Pruning Today!"]

แชร์

Recent Blog

Digital PR: สร้าง Backlink คุณภาพสูงจากสื่อใหญ่ได้อย่างไร

กลยุทธ์การทำ Digital PR เพื่อให้แบรนด์ของคุณถูกพูดถึงและได้รับ Backlink จากเว็บไซต์ข่าวหรือสื่อออนไลน์ที่มี Authority สูง ซึ่งส่งผลดีอย่างมหาศาลต่อ SEO

การสร้าง Brand Voice & Tone ที่สอดคล้องกันทุกช่องทาง (Website, Social, Email)

แนวทางการกำหนด 'เสียง' ของแบรนด์ (Brand Voice & Tone) และวิธีการนำไปใช้ในการสื่อสารทุกช่องทาง เพื่อสร้างคาแรกเตอร์ที่ชัดเจนและเป็นที่จดจำ

วิธีเปลี่ยนบทความ Blog ให้กลายเป็นวิดีโอ, Infographic และ Social Media Post

คู่มือการนำบทความในบล็อก (Blog Post) ที่มีอยู่แล้ว มาสร้างเป็นคอนเทนต์ในรูปแบบอื่นๆ เช่น วิดีโอสั้น, Infographic, หรือ Carousel Post เพื่อเข้าถึงผู้ชมกลุ่มใหม่ๆ