🔥 แค่ 5 นาที เปลี่ยนมุมมองได้เลย

A/B Testing บน Webflow: คู่มือการทดสอบเพื่อหา Layout ที่สร้าง Lead ได้มากที่สุด

ยาวไป อยากเลือกอ่าน?

เคยรู้สึกแบบนี้ไหมครับ? คุณทุ่มเททั้งแรงกายแรงใจสร้างเว็บไซต์ B2B ด้วย Webflow จนสวยงาม ทันสมัย อัดแน่นไปด้วยข้อมูล แต่...ทำไมตัวเลข "Lead" หรือ "ผู้ติดต่อ" ที่เข้ามามันน้อยนิดสวนทางกับ Traffic ที่เสียเงินยิงแอดไปอย่างน่าใจหาย คุณเริ่มนั่งเทียนเดา... "หรือว่า Headline ของเรามันไม่โดนใจ?" "ปุ่ม CTA สีนี้มันจืดไปรึเปล่า?" "Layout แบบนี้มันซับซ้อนไปไหม?" สุดท้ายก็จบลงที่การ "ปรับแก้ตามความรู้สึก" ซึ่งไม่ต่างอะไรกับการเดินหลงทางในความมืด

ถ้าคุณกำลังติดอยู่ในวงจร "เดา-ปรับ-แล้วก็ผิดหวัง" บทความนี้คือแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์ครับ เพราะเราจะหยุดการทำงานแบบพึ่งดวง แล้วหันมาใช้วิธีการทางวิทยาศาสตร์ที่เรียกว่า "A/B Testing" เพื่อหาคำตอบที่แท้จริงว่า Layout, Headline, หรือ CTA แบบไหนกันแน่ที่ "ทำงาน" ได้ดีที่สุดในการเปลี่ยนผู้เข้าชม ให้กลายเป็น Lead คุณภาพสูงสำหรับธุรกิจของคุณบน Webflow

ปัญหาที่เจอจริงในชีวิต: เว็บไซต์ Webflow สวย แต่ไม่สร้าง Lead

ลองจินตนาการตามนะครับ...คุณคือทีมการตลาดของบริษัทซอฟต์แวร์ B2B แห่งหนึ่ง เว็บไซต์ที่สร้างด้วย Webflow ของคุณดูดีมากในสายตาของ CEO และทีมดีไซน์ ทุกอย่างดูเป็นระเบียบ ฟีเจอร์ทันสมัย แต่ปัญหาคือ ยอด "Request a Demo" หรือ "Download Case Study" แทบไม่ขยับเลย ทั้งๆ ที่ลงทุนกับ Google Ads ไปเดือนละหลายหมื่นบาท Traffic วิ่งเข้าเว็บทุกวัน แต่เหมือนลูกค้าแค่ "เดินผ่าน" แล้วก็ "เดินจากไป" ไม่มีใครยอมกรอกฟอร์มทิ้งข้อมูลติดต่อไว้เลย คำถามที่วนเวียนอยู่ในหัวคือ "เราทำอะไรผิดไป?" ปัญหานี้ไม่ใช่แค่เรื่องของความสวยงาม แต่มันคือปัญหาการขาดข้อมูลในการตัดสินใจ (Data-Driven Decision) ที่แท้จริง เรากำลัง "เดา" ว่าลูกค้าต้องการอะไร แทนที่จะ "ทดสอบ" เพื่อหาคำตอบ

Prompt สำหรับภาพประกอบ: ภาพนักการตลาดหรือเจ้าของธุรกิจกำลังนั่งกุมขมับอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์ที่เปิดเว็บไซต์ Webflow สวยๆ แต่บนหน้าจอมีกราฟ Traffic พุ่งสูง แต่กราฟ Conversion/Lead กลับราบเรียบเป็นเส้นตรง สื่อถึงความขัดแย้งและความเครียด

ทำไมถึงเกิดปัญหานั้นขึ้น: กับดักของ “การออกแบบตามความรู้สึก”

สาเหตุหลักที่ทำให้เว็บไซต์สวยๆ หลายแห่งบน Webflow ไม่สามารถสร้าง Lead ได้เท่าที่ควร ไม่ได้มาจากความสามารถของแพลตฟอร์ม แต่มาจาก "วิธีคิด" ของเราเองครับ เรามักจะติดกับดักสำคัญๆ เหล่านี้:

  • เราคิดว่าเรารู้ดีที่สุด: เราออกแบบโดยยึดจาก "ความชอบส่วนตัว" หรือ "ประสบการณ์ของเรา" โดยลืมไปว่ากลุ่มเป้าหมายอาจมีมุมมองและความเข้าใจที่แตกต่างจากเราโดยสิ้นเชิง
  • กลัวความซับซ้อนทางเทคนิค: คำว่า "A/B Testing" อาจฟังดูน่ากลัวสำหรับบางคน ทำให้รู้สึกว่าเป็นเรื่องของโปรแกรมเมอร์หรือนักสถิติเท่านั้น ทั้งที่จริงแล้วมีเครื่องมือที่ช่วยให้การทดสอบบน Webflow ง่ายกว่าที่คิดมาก
  • เน้น "ความสวย" มากกว่า "ความชัดเจน": หลายครั้งเราให้ความสำคัญกับ Animation ที่หวือหวา หรือ Layout ที่แปลกใหม่ จนลืมไปว่าเป้าหมายหลักคือการทำให้ผู้ใช้ "เข้าใจ" และ "ตัดสินใจ" ได้ง่ายที่สุด การมี UX/UI ที่เน้น Conversion จึงสำคัญกว่าแค่ความสวยงาม
  • ไม่มีกระบวนการที่เป็นระบบ: การปรับแก้เว็บเป็นไปแบบสะเปะสะปะ วันนี้แก้ปุ่ม พรุ่งนี้แก้รูป โดยไม่มีการตั้งสมมติฐานและวัดผลที่ชัดเจน ทำให้เราไม่รู้เลยว่าการเปลี่ยนแปลงไหนที่ส่งผลดีหรือผลเสียจริงๆ

Prompt สำหรับภาพประกอบ: ภาพเปรียบเทียบระหว่างสมองซีกซ้าย (Logic, Data, A/B Test) กับสมองซีกขวา (Creativity, Feeling, Design) โดยมีลูกศรชี้ว่าการตัดสินใจที่ผิดพลาดมักจะมาจากฝั่งความรู้สึกเพียงอย่างเดียว โดยไม่มีข้อมูลมาสนับสนุน

ถ้าปล่อยไว้จะส่งผลยังไงบ้าง: มากกว่าแค่เสียโอกาส

การปล่อยให้เว็บไซต์ Webflow ของคุณทำงานโดยปราศจากการทดสอบและปรับปรุงด้วยข้อมูล เปรียบเสมือนการปล่อยให้เรือรั่วกลางทะเล มันไม่ได้แค่ทำให้คุณไปไม่ถึงจุดหมาย แต่อาจนำมาซึ่งหายนะที่คาดไม่ถึง:

  • เผาผลาญงบประมาณโฆษณา: ทุกคลิกที่คุณจ่ายเงินไปแต่ไม่เกิด Lead คือการ "เผาเงินทิ้ง" ยิ่งคุณไม่รู้ว่าจุดรั่วคือตรงไหน คุณก็จะยิ่งเทงบลงไปในสิ่งที่ไม่มีประสิทธิภาพ
  • เสียโอกาสทางธุรกิจให้คู่แข่ง: ในขณะที่คุณกำลัง "เดา" คู่แข่งของคุณอาจกำลัง "ทดสอบ" และพัฒนาเว็บไซต์ของพวกเขาให้ตอบโจทย์ลูกค้าได้ดีกว่า ทำให้พวกเขาได้ Lead ที่ควรจะเป็นของคุณไป
  • ตัดสินใจทางธุรกิจผิดพลาด: เมื่อไม่มีข้อมูลที่แท้จริงว่าอะไรดึงดูดลูกค้าได้ดีที่สุด คุณอาจจะสร้างแคมเปญการตลาดครั้งต่อไปโดยอิงจาก "สมมติฐานที่ผิด" ซึ่งนำไปสู่การเสียทั้งเงินและเวลา
  • ลดทอนความน่าเชื่อถือของแบรนด์: เว็บไซต์ที่ใช้งานยากหรือสื่อสารไม่ชัดเจน อาจทำให้ลูกค้ารู้สึกว่าแบรนด์ของคุณไม่เป็นมืออาชีพและไม่น่าไว้วางใจ ซึ่งส่งผลเสียต่อภาพลักษณ์ในระยะยาว

Prompt สำหรับภาพประกอบ: ภาพเงินที่กำลังถูกฉีกหรือเผา โดยมีพื้นหลังเป็นหน้าจอแคมเปญโฆษณาที่มียอดคลิกสูงแต่ไม่มี Conversion เพื่อสื่อถึงการสูญเสียงบประมาณโดยเปล่าประโยชน์

มีวิธีไหนแก้ได้บ้าง และควรเริ่มจากตรงไหน: เริ่มต้น “ทดลอง” อย่างมีหลักการ

ทางออกที่ตรงจุดที่สุดคือการหยุดเดาและเริ่ม "A/B Testing" ครับ A/B Testing คือกระบวนการเปรียบเทียบองค์ประกอบบนหน้าเว็บ 2 เวอร์ชัน (เวอร์ชัน A คือแบบดั้งเดิม และเวอร์ชัน B คือแบบที่ปรับปรุงใหม่) เพื่อดูว่าเวอร์ชันไหนให้ผลลัพธ์ (ในที่นี้คือ Lead) ได้ดีกว่ากัน โดยใช้ข้อมูลจริงจากผู้ใช้งาน นี่คือจุดเริ่มต้นที่ถูกต้องในการ เพิ่มประสิทธิภาพ Landing Page ของคุณ

คุณควรเริ่มทดสอบจากอะไร?
เริ่มต้นจากองค์ประกอบที่ส่งผลต่อการตัดสินใจของผู้ใช้มากที่สุด หรือที่เรียกว่า "Low-hanging fruit" ครับ:

  • Headline และ Sub-headline: นี่คือสิ่งแรกที่ผู้ใช้เห็น ลองทดสอบข้อความที่สื่อสารคุณค่าได้ชัดเจนกว่า หรือกระตุ้นความสนใจได้มากกว่า การดู ตัวอย่าง Above the Fold ของเว็บ B2B ชั้นนำจะให้ไอเดียที่ดี
  • Call-to-Action (CTA): ทดสอบ "ข้อความ" บนปุ่ม (เช่น "ขอใบเสนอราคา" vs "ดูราคาแพ็กเกจ"), "สี" ของปุ่ม, หรือแม้กระทั่ง "ตำแหน่ง" การวาง
  • รูปภาพหรือวิดีโอ (Hero Section): รูปภาพที่ใช้ส่งผลต่ออารมณ์และความเข้าใจอย่างมาก ลองเปลี่ยนรูปภาพที่สื่อถึงผลลัพธ์ที่ลูกค้าจะได้รับ แทนรูปสินค้าหรือออฟฟิศสวยๆ
  • Layout ของฟอร์ม: ทดสอบระหว่างการมีฟอร์มที่สั้นลง (ขอข้อมูลน้อยลง) กับฟอร์มเดิม หรือการเปลี่ยนดีไซน์ของฟอร์มให้น่ากรอกมากขึ้น
  • Social Proof: ลองเปลี่ยนตำแหน่งการวาง Testimonials หรือการเพิ่มโลโก้ลูกค้าเข้ามาเพื่อดูว่าช่วยสร้างความน่าเชื่อถือและเพิ่ม Lead ได้หรือไม่

ต้องใช้เครื่องมืออะไร?
แม้ Webflow จะยังไม่มีฟีเจอร์ A/B Testing ในตัว แต่เราสามารถใช้เครื่องมือภายนอก (Third-party Tools) ที่ทรงพลังอย่าง Optimizely หรือเครื่องมือจาก VWO ซึ่งสามารถเชื่อมต่อกับเว็บไซต์ Webflow ของคุณได้อย่างง่ายดายผ่านการติดตั้งโค้ดสั้นๆ เพียงไม่กี่บรรทัด

Prompt สำหรับภาพประกอบ: อินโฟกราฟิกง่ายๆ แสดงกระบวนการ A/B Testing: หน้าเว็บ A (Original) และหน้าเว็บ B (Variation) ถูกส่งให้กลุ่มผู้ใช้ดู จากนั้นข้อมูลจะถูกส่งไปวิเคราะห์เพื่อหา "Winner" ที่สร้าง Lead ได้มากกว่า

ตัวอย่างจากของจริงที่เคยสำเร็จ: เปลี่ยนเว็บ B2B ธรรมดาให้เป็นเครื่องผลิต Lead

บริษัท "Innovate Solutions" (นามสมมติ) ให้บริการซอฟต์แวร์ SaaS สำหรับจัดการโปรเจกต์ พวกเขามีเว็บไซต์ Webflow ที่ดีไซน์ทันสมัย แต่หน้า "Request a Demo" มี Conversion Rate เพียง 1.5% พวกเขาจึงตัดสินใจทำ A/B Testing

ปัญหาเดิม (Version A):

  • Headline: "Our Project Management Software" (ซอฟต์แวร์จัดการโปรเจกต์ของเรา)
  • CTA Button: "Submit" (ส่งข้อมูล)
  • Form: มี 7 ช่อง (ชื่อ, นามสกุล, อีเมล, บริษัท, ตำแหน่ง, เบอร์โทร, จำนวนพนักงาน)

สิ่งที่ทดสอบ (Version B):

  • Headline: "Finish Projects 30% Faster. See How." (ปิดโปรเจกต์เร็วขึ้น 30% ดูวิธีที่นี่) → เน้นที่ผลลัพธ์ (Benefit-driven)
  • CTA Button: "Get My Free Demo" (รับเดโมฟรีของฉัน) → ทำให้เป็นส่วนตัวและชัดเจน
  • Form: ลดเหลือ 4 ช่อง (ชื่อ, อีเมล, บริษัท, เบอร์โทร) → ลดแรงเสียดทาน

ผลลัพธ์: หลังจากรัน Test เป็นเวลา 4 สัปดาห์ ผลปรากฏว่า Version B มี Conversion Rate สูงถึง 4.2% ซึ่งเพิ่มขึ้นจากเดิมเกือบ 3 เท่า! การเปลี่ยนแปลงเพียงเล็กน้อยที่อิงจากสมมติฐานที่ชัดเจน สามารถเปลี่ยนเว็บไซต์ที่เคยเงียบเหงาให้กลายเป็นเครื่องมือสร้าง Lead ที่ทรงประสิทธิภาพได้ในทันที นี่คือพลังของการตัดสินใจโดยใช้ข้อมูล ไม่ใช่ความรู้สึก

Prompt สำหรับภาพประกอบ: ภาพเปรียบเทียบ Before & After ของหน้า Request a Demo ของบริษัท "Innovate Solutions" โดยชี้ให้เห็นการเปลี่ยนแปลงที่ Headline, CTA, และ Form พร้อมแสดงตัวเลข Conversion Rate ที่พุ่งสูงขึ้นอย่างชัดเจน

ถ้าอยากทำตามต้องทำยังไง (ใช้ได้ทันที): 5 ขั้นตอนจับมือทำ A/B Testing บน Webflow

พร้อมที่จะเปลี่ยนเว็บไซต์ Webflow ของคุณให้เป็นเครื่องจักรสร้าง Lead แล้วหรือยัง? ทำตาม 5 ขั้นตอนง่ายๆ นี้ได้เลยครับ:

  1. กำหนดเป้าหมายและตั้งสมมติฐาน (Define Goal & Hypothesis): คุณต้องการอะไร? "เพิ่มการคลิกปุ่ม Request a Demo 20%" นี่คือเป้าหมาย จากนั้นตั้งสมมติฐาน เช่น "เราเชื่อว่าการเปลี่ยนข้อความบนปุ่ม CTA จาก 'Submit' เป็น 'Get Free Demo' จะเพิ่มการคลิก เพราะมันชัดเจนและให้ประโยชน์มากกว่า"
  2. สร้างหน้าเว็บเวอร์ชัน B ใน Webflow (Create Variation): วิธีที่ง่ายที่สุดคือ "Duplicate" หน้าที่คุณต้องการทดสอบใน Webflow Designer จากนั้นเข้าไปแก้ไของค์ประกอบตามสมมติฐานที่คุณตั้งไว้ (เช่น แก้ไขข้อความ Headline, เปลี่ยนสีปุ่ม)
  3. ติดตั้งเครื่องมือ A/B Testing (Set Up a Tool): สมัครใช้งานเครื่องมืออย่าง Optimizely หรือ VWO จากนั้นคัดลอก Snippet Code ที่เครื่องมือให้มา แล้วนำไปวางในส่วน Custom Code ของ Webflow (ใน Site Settings > Custom Code > Head Code)
  4. ตั้งค่าแคมเปญทดสอบ (Configure Your Test): ใน Dashboard ของเครื่องมือ A/B Testing ให้คุณตั้งค่าแคมเปญใหม่ โดยระบุ URL ของหน้าเวอร์ชัน A (Original) และ URL ของหน้าเวอร์ชัน B (Variation) ที่คุณสร้างไว้ใน Webflow พร้อมกำหนดเป้าหมายการวัดผล (Goal) เช่น การคลิกปุ่ม หรือการเข้าชมหน้า Thank You Page หลังกรอกฟอร์ม
  5. รัน Test และวิเคราะห์ผล (Run & Analyze): เริ่มรันแคมเปญ! เครื่องมือจะทำการแบ่ง Traffic ที่เข้ามายังหน้าเว็บของคุณไปยังเวอร์ชัน A และ B โดยอัตโนมัติ ควรรัน Test จนกว่าจะได้ข้อมูลที่มีนัยสำคัญทางสถิติ (Statistical Significance) ซึ่งเครื่องมือจะบอกคุณเอง เมื่อได้ผู้ชนะ (Winner) แล้ว ก็ถึงเวลาปรับใช้เวอร์ชันนั้นเป็นเวอร์ชันจริงบนเว็บไซต์ของคุณ! หากต้องการ คู่มือฉบับเต็มเกี่ยวกับการทำ A/B Testing สามารถอ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่

Prompt สำหรับภาพประกอบ: ภาพอินโฟกราฟิกที่สรุป 5 ขั้นตอน (Define, Create, Set Up, Configure, Run) พร้อมไอคอนประกอบที่เข้าใจง่ายในแต่ละขั้นตอน ทำให้ดูเหมือน Checklist ที่ทำตามได้ไม่ยาก

คำถามที่คนมักสงสัย และคำตอบที่เคลียร์

ถาม: เว็บไซต์ต้องมี Traffic เยอะแค่ไหนถึงจะทำ A/B Testing ได้?ตอบ: ไม่มีตัวเลขตายตัว แต่ยิ่ง Traffic เยอะก็จะยิ่งเห็นผลเร็วและน่าเชื่อถือมากขึ้น โดยทั่วไป หากเว็บไซต์ของคุณมีผู้เข้าชมหน้าที่จะทดสอบอย่างน้อย 1,000-2,000 คนต่อเดือน ก็สามารถเริ่มต้นได้แล้วครับ แต่ถ้า Traffic น้อยกว่านั้น อาจจะต้องใช้เวลารัน Test นานขึ้นเพื่อให้ได้ข้อมูลที่แม่นยำถาม: ถ้าไม่มีทักษะด้านโค้ดดิ้ง จะทำ A/B Testing บน Webflow ได้ไหม?ตอบ: ได้แน่นอนครับ! ความท้าทายมีเพียงขั้นตอนเดียวคือการคัดลอก Snippet Code จากเครื่องมือ A/B Testing ไปวางใน Custom Code ของ Webflow ซึ่งทำเพียงครั้งแรกครั้งเดียวเท่านั้น ส่วนการสร้างหน้า Variation และการตั้งค่าแคมเปญบนเครื่องมือต่างๆ ถูกออกแบบมาให้ใช้งานง่ายแบบ Visual Editor อยู่แล้ว หากต้องการความช่วยเหลือในการตั้งค่าที่ซับซ้อน การปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้าน Advanced Webflow Development ก็เป็นทางเลือกที่ดีครับถาม: ควรรัน Test นานแค่ไหน?ตอบ: ระยะเวลาขึ้นอยู่กับปริมาณ Traffic ของคุณ แต่กฎที่ดีคือควรรัน Test ให้ครบ 1-2 สัปดาห์เป็นอย่างน้อย เพื่อลดผลกระทบจากความผันผวนของพฤติกรรมผู้ใช้ในแต่ละวันของสัปดาห์ (เช่น พฤติกรรมวันจันทร์อาจไม่เหมือนวันเสาร์) และที่สำคัญที่สุดคือต้องรอจนกว่าผลลัพธ์จะมี "นัยสำคัญทางสถิติ" (Statistical Significance) เกิน 95% ขึ้นไปถาม: A/B Testing ต่างจาก Multivariate Testing อย่างไร?ตอบ: A/B Testing คือการเปรียบเทียบหน้าเว็บ 2 เวอร์ชัน (หรือมากกว่า) ที่มีการเปลี่ยนแปลง "หนึ่งอย่าง" หรือ "หลายอย่างรวมกันเป็นแพ็กเกจ" เพื่อหาว่าเวอร์ชันไหนดีกว่า ส่วน Multivariate Testing คือการทดสอบ "หลายองค์ประกอบ" บนหน้าเว็บ "พร้อมๆ กัน" เพื่อดูว่า "ชุดค่าผสม" (Combination) ไหนขององค์ประกอบเหล่านั้นให้ผลดีที่สุด ซึ่งจะซับซ้อนกว่าและต้องการ Traffic จำนวนมาก หากอยากเข้าใจความแตกต่างอย่างละเอียด ลองอ่านบทความ A/B Testing vs Multivariate Testing ของเราได้ครับ

Prompt สำหรับภาพประกอบ: ไอคอนรูปเครื่องหมายคำถาม (?) ขนาดใหญ่ และมีกล่องข้อความคำตอบที่ชัดเจนและเข้าใจง่ายล้อมรอบ เพื่อสื่อถึงการไขข้อข้องใจ

สรุปให้เข้าใจง่าย + อยากให้ลองลงมือทำ

การสร้างเว็บไซต์ Webflow ที่สวยงามคือจุดเริ่มต้นที่ดี แต่การทำให้เว็บไซต์นั้นกลายเป็น "เครื่องมือสร้าง Lead" ที่ทรงพลังนั้นต้องอาศัยมากกว่าความรู้สึก มันต้องการ "ข้อมูล" และ "การทดสอบ" อย่างเป็นระบบ A/B Testing คือสะพานที่จะพาคุณข้ามจากโลกของการ "เดา" ไปสู่โลกของการ "ตัดสินใจด้วยข้อมูล" ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของการตลาดดิจิทัลที่ประสบความสำเร็จ

อย่าปล่อยให้ความไม่แน่ใจมาเป็นอุปสรรคในการเติบโตของธุรกิจคุณอีกต่อไปครับ ลองเริ่มต้นจากสิ่งเล็กๆ เลือกองค์ประกอบที่สำคัญที่สุดบนหน้า Landing Page ของคุณ ตั้งสมมติฐาน แล้วเริ่มทดสอบเลยวันนี้ การเปลี่ยนแปลงเพียงเล็กน้อยที่มาจากข้อมูลที่ถูกต้อง อาจสร้างผลลัพธ์ทางธุรกิจที่ยิ่งใหญ่เกินกว่าที่คุณจะจินตนาการได้

ถึงเวลาเปลี่ยนผู้เข้าชม ให้เป็น Lead คุณภาพแล้ว! หากคุณต้องการพาร์ทเนอร์ที่เชี่ยวชาญในการเปลี่ยนเว็บไซต์ Webflow ของคุณให้เป็นเครื่องจักรสร้าง Lead และ Conversion อย่างเต็มรูปแบบ ทีมงานของเราพร้อมให้คำปรึกษาและบริการ Conversion Rate Optimization (CRO) แบบครบวงจร เพื่อปลดล็อกศักยภาพสูงสุดของเว็บไซต์คุณ

Prompt สำหรับภาพประกอบ: ภาพกราฟที่พุ่งทะยานขึ้นฟ้า โดยมีจรวดเล็กๆ ที่ติดป้ายว่า "A/B Test" เป็นตัวขับเคลื่อน สื่อถึงการเติบโตแบบก้าวกระโดดที่มาจากการทดสอบและปรับปรุง

แชร์

Recent Blog

Case Study: เราปั้นเว็บไซต์ SaaS Startup ให้มี Sign Up เพิ่มขึ้น 500% ได้อย่างไร

เจาะลึกเบื้องหลังเคสรีดีไซน์เว็บไซต์ให้ SaaS Startup โดยใช้หลัก CRO และ UX เพื่อเพิ่ม Conversion Rate และจำนวนผู้ลงทะเบียนใช้งาน

จ้างทำเว็บไซต์ราคาเท่าไหร่? เปิดงบประมาณที่สมเหตุสมผลสำหรับเว็บแต่ละประเภท

แจกแจงรายละเอียดค่าใช้จ่ายในการทำเว็บไซต์แต่ละประเภท ตั้งแต่เว็บ SME, Corporate, E-Commerce ไปจนถึงเว็บ Custom พร้อมปัจจัยที่ส่งผลต่อราคา

Information Architecture (IA) คืออะไร? และทำไมมันคือกระดูกสันหลังของเว็บไซต์ที่ใช้งานง่าย

อธิบายหลักการของ Information Architecture (IA) หรือสถาปัตยกรรมข้อมูล ว่าช่วยจัดระเบียบเนื้อหาและเมนูบนเว็บให้ผู้ใช้หาข้อมูลเจอง่ายได้อย่างไร