Discovery Phase: ทำไมขั้นตอนนี้ถึงสำคัญที่สุดในโปรเจกต์ทำเว็บ

เคยไหมครับ? ฝันอยากมีเว็บสวยๆ สุดท้ายกลายเป็นฝันร้ายที่ไม่อยากจำ
ลองจินตนาการตามนะครับ...คุณ ในฐานะเจ้าของธุรกิจหรือทีมมาร์เก็ตติ้ง ไฟกำลังลุกโชน! ไอเดียสำหรับเว็บไซต์ใหม่พรั่งพรูเต็มหัวไปหมด “ต้องมีฟีเจอร์ A, ดีไซน์ต้องแบบ B, สีต้องเป็นโทน C” ทุกคนในทีมดูตื่นเต้นและเห็นภาพตรงกันไปหมด คุณตัดสินใจข้ามขั้นตอน “คุยเล่นๆ” ที่ดูน่าเบื่อ แล้วสั่งทีมลุยดีไซน์โค้ดดิ้งทันทีเพื่อ “ประหยัดเวลา”
3 เดือนผ่านไป...เว็บไซต์ที่เคยฝันไว้กลายเป็นฝันร้าย ของจริงที่ได้กลับไม่ตรงปก ฟีเจอร์ที่คิดว่าเจ๋งกลับไม่มีคนใช้ ดีไซน์สวยแต่ลูกค้าหาปุ่ม “ซื้อ” ไม่เจอ งบประมาณบานปลายไปไกลกว่าที่คิด ทีมงานเริ่มโทษกันไปมา สุดท้ายอาจต้อง “รื้อทำใหม่” ทั้งหมด...นี่คือสถานการณ์จริงที่เกิดขึ้นกับหลายองค์กร และต้นตอของปัญหาส่วนใหญ่มักมาจากจุดเดียวกัน คือการมองข้ามขั้นตอนที่เรียบง่ายแต่สำคัญที่สุดที่ชื่อว่า “Discovery Phase” หรือ “ขั้นตอนการค้นหาและวางแผน” นั่นเองครับ
Prompt สำหรับภาพประกอบ: ภาพกราฟิกเปรียบเทียบ 2 ฝั่ง ฝั่งหนึ่งเป็นเส้นทางที่วุ่นวายยุ่งเหยิง มีสัญลักษณ์งบประมาณบานปลาย ($$$!) และเวลาที่เกินกำหนด (Clock running out) เขียนกำกับว่า "No Discovery" อีกฝั่งเป็นเส้นทางที่ตรงและชัดเจน นำไปสู่ถ้วยรางวัล เขียนกำกับว่า "With Discovery Phase"
ทำไมเว็บถึง “พัง” ตั้งแต่ยังไม่ทันได้เริ่ม?
ปัญหาโปรเจกต์เว็บล่ม, ล่าช้า, หรืองบานปลาย มันไม่ได้เกิดจากทีมไม่เก่งหรือเครื่องมือไม่ดีครับ แต่ส่วนใหญ่มักเกิดจากการที่ “ทุกคนคิดว่าเข้าใจตรงกัน” ทั้งที่จริงแล้วไม่ใช่เลย การกระโดดข้าม Discovery Phase ก็เหมือนการสร้างบ้านโดยไม่มีพิมพ์เขียว ทุกคนต่างคนต่างสร้างตามความเข้าใจของตัวเอง สถาปนิกอยากได้ทรงโมเดิร์น วิศวกรเน้นโครงสร้างแข็งแรง แต่เจ้าของบ้านแค่อยากได้ครัวใหญ่ๆ ผลลัพธ์คือบ้านที่หน้าตาประหลาดและใช้งานไม่ได้จริง
สาเหตุหลักๆ ของความล้มเหลวที่เกิดจากการไม่มี Discovery Phase คือ:
- เป้าหมายไม่ชัดเจน (Unclear Goals): เราทำเว็บนี้ไป “เพื่ออะไร” กันแน่? เพื่อสร้างแบรนด์? เพิ่มยอดขาย? หรือลดงานแอดมิน? ถ้าคำตอบนี้ไม่ชัด ทุกการตัดสินใจหลังจากนี้ก็จะเบลอไปหมด
- ไม่เข้าใจผู้ใช้จริง (No User Insight): เรามักจะออกแบบเว็บตาม “สิ่งที่เราชอบ” ไม่ใช่ “สิ่งที่ลูกค้าต้องการ” ทำให้ได้เว็บไซต์ที่สวยในสายตาเรา แต่แก้ปัญหาให้ลูกค้าไม่ได้จริง
- ขอบเขตงานสะเปะสะปะ (Scope Creep): พอไม่มีการตกลงขอบเขตงานให้ชัดเจนตั้งแต่แรก ก็มักจะมีการขอเพิ่มฟีเจอร์เล็กๆ น้อยๆ เข้ามาเรื่อยๆ จนสุดท้ายโปรเจกต์บวมและไม่จบไม่สิ้น
- ความคาดหวังไม่ตรงกัน (Misaligned Expectations): ทีมมาร์เก็ตติ้งคาดหวังแบบหนึ่ง ทีมขายคาดหวังอีกแบบ ส่วนทีมพัฒนาก็เข้าใจไปอีกทาง ความไม่สอดคล้องกันนี้คือระเบิดเวลาดีๆ นี่เอง
Prompt สำหรับภาพประกอบ: ภาพการ์ตูนล้อเลียน ทีมงาน 3-4 คนกำลังต่อจิ๊กซอว์ภาพเดียวกัน แต่ละคนกำลังต่อคนละมุมด้วยภาพในหัวที่ต่างกันอย่างสิ้นเชิง ทำให้จิ๊กซอว์ต่อกันไม่ติด
ปล่อยไว้...เจ็บกว่าที่คิด! ผลกระทบระยะยาวของการไม่มี Discovery Phase
การ “ประหยัดเวลา” ไม่ทำ Discovery Phase ในตอนแรก อาจฟังดูน่าดึงดูด แต่ “ดอกเบี้ย” ที่ต้องจ่ายในระยะยาวนั้นมหาศาลและเจ็บปวดกว่าที่คิดมากครับ มันไม่ใช่แค่เรื่องของเงินที่เสียไป แต่ยังส่งผลกระทบต่อธุรกิจในหลายมิติ:
- งบประมาณที่สูญเปล่า: เงินทุกบาทที่จ่ายไปกับการออกแบบและพัฒนาเว็บที่ไม่ตอบโจทย์ คือเงินที่โยนทิ้งลงแม่น้ำ การต้องกลับมารื้อทำใหม่หมายถึงคุณต้องจ่ายเงินสองเท่าสำหรับงานเดียวกัน การวางแผน งบประมาณสำหรับทำเว็บไซต์ใหม่ อย่างมีเหตุผลจึงเป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่ง
- เสียโอกาสทางธุรกิจ: ในขณะที่คุณกำลังวุ่นวายกับการแก้ปัญหาเว็บที่พัง คู่แข่งของคุณอาจเปิดตัวเว็บที่ตอบโจทย์ลูกค้าและชิงส่วนแบ่งตลาดไปเรียบร้อยแล้ว ทุกวันที่เว็บของคุณไม่มีประสิทธิภาพ คือวันที่คุณเสียลูกค้าและรายได้
- ทำลายภาพลักษณ์แบรนด์: เว็บไซต์คือหน้าตาของบริษัท ถ้าเว็บใช้งานยาก ดูไม่เป็นมืออาชีพ หรือมีปัญหาบ่อยๆ มันจะทำลายความน่าเชื่อถือและความไว้วางใจที่ลูกค้ามีต่อแบรนด์ของคุณทันที
- ทีมงานหมดไฟ: ไม่มีใครอยากทำงานที่ต้องรื้อแก้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า การทำงานในโปรเจกต์ที่ไม่มีทิศทางชัดเจนจะบั่นทอนกำลังใจของทีม ทำให้เกิดความขัดแย้ง และอาจนำไปสู่การลาออกของพนักงานเก่งๆ ได้
Promptสำหรับภาพประกอบ: ภาพอินโฟกราฟิกแสดงแท่งเงินที่กำลังมอดไหม้, ปฏิทินที่ถูกฉีกทิ้ง, โลโก้แบรนด์ที่แตกร้าว และรูปคนทำงานกุมขมับ ทั้งหมดสื่อถึงผลกระทบด้านลบ
“พิมพ์เขียวสู่ความสำเร็จ” รู้จัก Discovery Phase ให้ลึกซึ้ง และควรเริ่มจากตรงไหน?
ทางแก้ของปัญหาทั้งหมดที่กล่าวมานั้นตรงไปตรงมามากครับ นั่นคือการให้ความสำคัญกับ Discovery Phase มันคือขั้นตอนการ “ลงทุนด้วยเวลา” ในช่วงเริ่มต้น เพื่อ “ซื้อความสำเร็จ” และ “ลดความเสี่ยง” ทั้งหมดในระยะยาว พูดง่ายๆ คือการหยุดเพื่อตั้งหลัก ถามคำถามที่ถูกต้อง และหาคำตอบร่วมกันให้เจอ ก่อนที่จะเริ่มลงมือสร้าง
แล้วในขั้นตอนนี้ต้องทำอะไรบ้าง? โดยทั่วไปแล้วจะประกอบด้วยกิจกรรมหลักๆ ดังนี้ครับ:
- สัมภาษณ์ผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย (Stakeholder Interviews): คุยกับทุกคนที่เกี่ยวข้อง ตั้งแต่ CEO, ทีมการตลาด, ทีมขาย, ไปจนถึงแอดมิน เพื่อให้เข้าใจเป้าหมายและความคาดหวังจากทุกมุมมอง
- วิเคราะห์คู่แข่ง (Competitor Analysis): ส่องเว็บของคู่แข่งว่าเขาทำอะไรได้ดี และเราจะมีจุดยืนที่แตกต่างหรือดีกว่าได้อย่างไร
- กำหนดกลุ่มเป้าหมายและ Persona (User Persona Definition): สร้างตัวตนสมมติของลูกค้าในอุดมคติขึ้นมา เพื่อให้ทีมเห็นภาพตรงกันว่าเรากำลังออกแบบเว็บนี้ให้ “ใคร” ใช้
- กำหนดเป้าหมายและ KPI ที่วัดผลได้ (Goal Setting & KPIs): แปลงเป้าหมายทางธุรกิจ (เช่น เพิ่มยอดขาย 30%) ให้เป็นเป้าหมายของเว็บไซต์ที่วัดผลได้ (เช่น ลด Cart Abandonment Rate ลง 15%)
- วางโครงสร้างข้อมูลและฟีเจอร์ (Information Architecture & Feature Prioritization): จัดลำดับความสำคัญว่าฟีเจอร์ไหน “ต้องมี” (Must-have) หรือ “มีก็ดี” (Nice-to-have) เพื่อให้โปรเจกต์อยู่ในงบและกรอบเวลา
- ตรวจสอบทางเทคนิค (Technical Audit): หากเป็นการทำเว็บใหม่บนระบบเดิม หรือย้ายเว็บ ก็ต้องมีการตรวจสอบข้อจำกัดทางเทคนิคต่างๆ ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญใน เช็กลิสต์การย้ายเว็บไซต์
แหล่งข้อมูลชั้นดีจากต่างประเทศอย่าง Smashing Magazine และ The Digital Project Manager ต่างก็ย้ำว่าขั้นตอนนี้คือหัวใจของการทำดิจิทัลโปรเจกต์ให้สำเร็จ
Prompt สำหรับภาพประกอบ: ภาพอินโฟกราฟิกสวยงาม แสดงขั้นตอนต่างๆ ใน Discovery Phase เป็นลำดับขั้น (Stakeholder Interview -> Competitor Analysis -> User Persona -> Goal Setting -> etc.) พร้อมไอคอนประกอบที่เข้าใจง่าย
ตัวอย่างจากของจริง: เมื่อ Discovery Phase เปลี่ยนโปรเจกต์ที่ “เกือบล่ม” ให้ “ปัง” เกินคาด
ผมขอยกตัวอย่างบริษัท B2B แห่งหนึ่งที่ต้องการทำเว็บไซต์ใหม่เพื่อหาลูกค้าองค์กรเพิ่ม (Lead Generation) ตอนแรกพวกเขาต้องการเว็บที่ดู “ล้ำสมัย” มี Animation หวือหวา และเน้นโชว์เคสผลงานอลังการ โดยเชื่อว่านี่คือสิ่งที่ดึงดูดลูกค้าได้
ก่อนทำ Discovery: ทีมงานเกือบจะสรุปและเริ่มดีไซน์เว็บตามแนวทางนั้นแล้ว ซึ่งจะต้องใช้งบประมาณและเวลาค่อนข้างสูง
ช่วงทำ Discovery: เราได้เข้าไปจัด Workshop และสัมภาษณ์ทีมขายของพวกเขา สิ่งที่ค้นพบกลับตรงกันข้าม! ทีมขายเล่าว่าลูกค้าองค์กรตัวจริง “ไม่เคย” ถามถึง Animation เลย แต่สิ่งที่พวกเขาต้องการคือ “ข้อมูลทางเทคนิคที่ชัดเจน”, “Case Study ที่วัดผลได้เป็นตัวเลข” และ “ช่องทางติดต่อที่ง่ายและรวดเร็ว” เพราะพวกเขาไม่มีเวลามานั่งดูเว็บสวยๆ
ผลลัพธ์หลังปรับแผน: เราจึงเปลี่ยนทิศทางของโปรเจกต์ทั้งหมด ลดความซับซ้อนของดีไซน์ลง แต่ไปเน้นการสร้างหน้า Case Study ที่ละเอียด, ทำตารางเปรียบเทียบข้อมูลสินค้าที่ชัดเจน, และออกแบบฟอร์มขอใบเสนอราคาที่ง่ายสุดๆ ผลปรากฏว่าหลังจากเว็บไซต์ใหม่เปิดตัวไปเพียง 3 เดือน พวกเขาได้จำนวน Lead คุณภาพสูงเพิ่มขึ้น 200% โดยใช้งบประมาณในการพัฒนาน้อยกว่าแผนเดิมถึง 40% นี่คือพลังของการ “ถาม” และ “ฟัง” ก่อน “ทำ” อย่างแท้จริง
Prompt สำหรับภาพประกอบ: ภาพ Before & After ของเว็บไซต์ Before เป็นเว็บที่ดูรก สับสน มี Animation ฟุ้งๆ After เป็นเว็บที่ดูสะอาดตา Professional เน้นข้อมูลที่ชัดเจน และมีปุ่ม CTA "ขอใบเสนอราคา" ที่โดดเด่น
อยากทำตามต้องเริ่มยังไง? Checklist ง่ายๆ สำหรับ Discovery Phase ที่คุณเริ่มได้ทันที
อ่านมาถึงตรงนี้ คุณคงเห็นความสำคัญของมันแล้วใช่ไหมครับ? ข่าวดีคือคุณสามารถเริ่มกระบวนการนี้แบบง่ายๆ ได้ด้วยตัวเอง เพียงแค่ “หยุด” และ “ตั้งคำถาม” ให้ถูก นี่คือ Checklist ที่คุณสามารถนำไปใช้ในทีมได้ทันที:
- เรียกประชุมผู้เกี่ยวข้องทุกคน: เชิญหัวหน้าทีมทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องกับเว็บไซต์นี้เข้ามานั่งคุยกันอย่างเป็นทางการ
- ตอบคำถาม 5 ข้อนี้ร่วมกันให้ได้:
- Why: ทำไมเราถึงต้องทำ/ปรับปรุงเว็บไซต์นี้? เป้าหมายอันดับ 1 ของมันคืออะไร?
- Who: ใครคือกลุ่มเป้าหมายที่เราอยากให้เข้ามาใช้เว็บที่สุด? อธิบายลักษณะของเขาให้ชัดเจน
- What: ลูกค้าเข้ามาในเว็บเราแล้ว เราอยากให้เขา “ทำอะไร” มากที่สุด? (ซื้อของ, กรอกฟอร์ม, อ่านบทความ?)
- How: เราจะวัดผลความสำเร็จของเว็บนี้ได้อย่างไร? (ยอดขาย, จำนวน Lead, อันดับบน Google?)
- Where: ลูกค้าจะมาจากช่องทางไหนเป็นหลัก? (Google, Facebook, Email?)
- จัดลำดับความสำคัญของฟีเจอร์: เขียนทุกฟีเจอร์ที่อยากได้ลงบน Post-it แล้วแปะบนกระดาน จากนั้นให้ทุกคนช่วยกันจัดกลุ่มเป็น 3 กอง: “ต้องมีเท่านั้น (Must-have)”, “มีก็ดี (Should-have)”, และ “ไว้ทำทีหลัง (Could-have)”
- ทำเอกสารสรุป (Project Brief): รวบรวมคำตอบและข้อสรุปทั้งหมดออกมาเป็นเอกสาร 1-2 หน้า แล้วส่งให้ทุกคนยืนยันเพื่อเป็น “สัญญาใจ” ร่วมกันก่อนเริ่มงาน
เพียงแค่ทำตามขั้นตอนเหล่านี้ คุณก็จะลดความเสี่ยงของโปรเจกต์ไปได้มหาศาล และมีทิศทางที่ชัดเจนมากขึ้น อย่างไรก็ตาม การมีผู้เชี่ยวชาญจากภายนอกเข้ามาช่วยดำเนินกระบวนการก็มักจะให้ผลลัพธ์ที่ดีกว่า เพราะพวกเขามีประสบการณ์และสามารถมองเห็นในมุมที่คนในอาจมองข้ามไป หากคุณสนใจ บริการให้คำปรึกษาและจัดทำเว็บไซต์ ที่เริ่มต้นด้วย Discovery Phase ที่แข็งแกร่ง เราพร้อมให้คำแนะนำครับ
Prompt สำหรับภาพประกอบ: ภาพถ่ายทีมงานกำลังทำ Workshop อย่างจริงจัง ระดมสมองกันหน้า Whiteboard ที่เต็มไปด้วย Post-it ที่แบ่งเป็นโซน Must-have, Should-have, Could-have บรรยากาศดู Productive และร่วมมือกัน
คำถามที่คนมักสงสัย (และกลัวที่จะถาม) เกี่ยวกับ Discovery Phase
ผมรวบรวมคำถามยอดฮิตที่มักจะได้ยินบ่อยๆ เกี่ยวกับขั้นตอนนี้มาตอบให้เคลียร์ตรงนี้เลยครับ
ถาม: Discovery Phase ทำให้โปรเจกต์ช้าลงและแพงขึ้นใช่ไหม?
ตอบ: ตรงกันข้ามเลยครับ! การลงทุนเวลา 1-2 สัปดาห์ในตอนแรกเพื่อทำ Discovery อาจดูเหมือนช้า แต่เป็นการ “ป้องกัน” ไม่ให้เกิดการแก้ไขงานหรือรื้อทำใหม่กลางทาง ซึ่งจะทำให้โปรเจกต์โดยรวม “เร็วขึ้น” และ “ประหยัดงบ” กว่าเดิมมากครับ มันคือการ “ลงทุน” ไม่ใช่ “ค่าใช้จ่าย”
ถาม: เราเป็นบริษัทเล็กๆ งบจำกัด จำเป็นต้องทำเต็มรูปแบบขนาดนั้นเลยเหรอ?
ตอบ: ยิ่งงบจำกัด ยิ่งต้องทำครับ! สำหรับบริษัทเล็ก การใช้ทรัพยากรทุกบาททุกสตางค์ให้คุ้มค่าที่สุดคือหัวใจ การทำ Discovery Phase ช่วยให้คุณมั่นใจได้ว่าเงินที่คุณลงไปกับการทำเว็บ จะถูกใช้ไปกับสิ่งที่ “สำคัญจริงๆ” และสร้างผลตอบแทนได้จริง ไม่ใช่เสียไปกับฟีเจอร์ที่ไม่จำเป็น ลองดู การเปรียบเทียบต้นทุนการเป็นเจ้าของ (TCO) ระหว่างแพลตฟอร์มต่างๆ จะเห็นว่าการวางแผนที่ดีช่วยลดค่าใช้จ่ายแฝงได้มาก
ถาม: เราคุยกันในทีมก็น่าจะพอแล้ว ทำไมต้องทำเป็นกระบวนการจริงจัง?
ตอบ: การ “คุยเล่นๆ” มักจะไม่มีข้อสรุปที่ชัดเจนและไม่มีใครต้องรับผิดชอบ การทำเป็นกระบวนการที่มีขั้นตอนและเอกสารชัดเจน จะช่วยเปลี่ยน “ความคิดเห็น” ให้กลายเป็น “ข้อตกลงร่วมกัน” ที่ทุกคนยึดถือเป็นแนวทางเดียวกันตลอดทั้งโปรเจกต์
Prompt สำหรับภาพประกอบ: ไอคอนรูปเครื่องหมายคำถาม (?) ขนาดใหญ่ ตรงกลางมีข้อความว่า "FAQ" และมีไอคอนเล็กๆ สื่อถึง เวลา, เงิน และขนาดของบริษัท อยู่รอบๆ
บทสรุป: อย่าเริ่มสร้างบ้าน ถ้ายังไม่มีพิมพ์เขียว
มาถึงตรงนี้ ผมหวังว่าทุกคนจะเห็นภาพตรงกันแล้วนะครับว่า Discovery Phase ไม่ใช่ขั้นตอนที่เลือกได้ว่าจะ “ทำหรือไม่ทำ” แต่มันคือ “หัวใจ” และ “พิมพ์เขียว” ที่ขาดไม่ได้สำหรับทุกโปรเจกต์การทำเว็บไซต์ที่ต้องการความสำเร็จ การข้ามขั้นตอนนี้ไปก็เหมือนการออกเรือสู่มหาสมุทรโดยไม่มีแผนที่และเข็มทิศ โอกาสที่จะไปถึงจุดหมายนั้นมีน้อยมาก
การลงทุนเวลาและทรัพยากรในช่วงเริ่มต้นเพื่อทำความเข้าใจเป้าหมาย, ผู้ใช้, และขอบเขตงานให้ตกผลึก คือการการันตีว่าเว็บไซต์ที่คุณสร้างขึ้นมาจะไม่ได้เป็นเพียง “บ้านที่สวยงาม” แต่จะเป็น “เครื่องมือทางธุรกิจ” ที่ทรงพลัง สามารถสร้างยอดขาย, ดึงดูดลูกค้า, และสร้างการเติบโตให้บริษัทของคุณได้อย่างยั่งยืน
ได้เวลาถามตัวเองแล้วครับ...โปรเจกต์เว็บไซต์ครั้งต่อไปของคุณ จะเริ่มต้นด้วย “ความหวังลมๆ แล้งๆ” หรือจะเริ่มต้นด้วย “พิมพ์เขียวสู่ความสำเร็จ” ที่จับต้องได้? อย่าปล่อยให้ความผิดพลาดที่ป้องกันได้ มาทำลายความฝันและงบประมาณของคุณเลยครับ
เริ่มต้นวางแผนโปรเจกต์เว็บไซต์ของคุณให้ถูกทางตั้งแต่วันนี้! หากคุณต้องการผู้เชี่ยวชาญมาช่วยวาง “พิมพ์เขียว” ที่แข็งแกร่งให้กับเว็บไซต์ของคุณ ปรึกษาทีมงาน Vision X Brain ได้เลยครับ เราพร้อมช่วยคุณเปลี่ยนไอเดียให้กลายเป็นความสำเร็จที่วัดผลได้จริง
Prompt สำหรับภาพประกอบ: ภาพสุดท้ายที่ทรงพลัง เป็นภาพมือสถาปนิกกำลังกางพิมพ์เขียวบนโต๊ะ บนพิมพ์เขียวนั้นเป็นโครงสร้างของหน้าเว็บไซต์ที่สวยงามและเป็นระเบียบ และมองออกไปนอกหน้าต่างเห็นเป็นภาพเมืองที่เจริญรุ่งเรือง สื่อถึงการวางแผนที่ดีนำไปสู่ความสำเร็จ
Recent Blog

ทำความรู้จักกระบวนการ Design Sprint ที่คิดค้นโดย Google Ventures ซึ่งช่วยให้ทีมสามารถแก้ปัญหา, ออกแบบ, และทดสอบไอเดียกับผู้ใช้จริงได้ภายใน 5 วัน

เคล็ดลับและเครื่องมือในการสื่อสารกับลูกค้าระหว่างโปรเจกต์ทำเว็บ ตั้งแต่การตั้งความคาดหวัง, การรายงานความคืบหน้า, ไปจนถึงการจัดการ Feedback ที่มีประสิทธิภาพ

เปิดเผยกระบวนการทำ UX Audit ของเอเจนซี่ ตั้งแต่ขั้นตอนการรวบรวมข้อมูลเชิงปริมาณและคุณภาพ, การวิเคราะห์, ไปจนถึงการสรุปเป็น Action Plan ที่นำไปใช้ได้จริง