🔥 แค่ 5 นาที เปลี่ยนมุมมองได้เลย

ออกแบบหน้า 'About Us' และ 'Why Us' อย่างไรให้เปลี่ยนจาก "ข้อมูล" เป็น "เครื่องมือปิดการขาย"

ยาวไป อยากเลือกอ่าน?

ปัญหาที่เจอจริงในชีวิต: หน้า 'เกี่ยวกับเรา' ที่กลายเป็น 'สุสานข้อมูล'

คุณเคยรู้สึกแบบนี้ไหมครับ? คุณทุ่มเทสร้างเว็บไซต์บริษัทจนสวยงาม มีหน้า Home ที่น่าดึงดูดใจ มีหน้าสินค้า/บริการที่ข้อมูลครบถ้วน แต่พอคลิกไปที่หน้า 'About Us' (เกี่ยวกับเรา) หรือ 'Why Us' (ทำไมต้องเลือกเรา) บรรยากาศกลับเปลี่ยนไปทันที...มันกลายเป็นเหมือนห้องเก็บของที่เต็มไปด้วยประวัติบริษัทที่ไม่เคยมีใครอยากอ่าน, Mission/Vision ที่ดูสวยหรูแต่เข้าไม่ถึง หรือรายชื่อผู้บริหารที่ลูกค้าไม่ได้รู้สึกเชื่อมโยงด้วยเลย

สุดท้าย เมื่อคุณลองเปิด Google Analytics ดู ก็พบความจริงที่น่าเจ็บปวด: หน้าเหล่านี้มี Bounce Rate (อัตราการตีกลับ) สูงลิ่ว และ Time on Page (เวลาที่ใช้ในหน้า) ต่ำเตี้ยติดดิน มันกลายเป็น 'หน้าทางตัน' ที่ลูกค้าแวะเข้ามา...แล้วก็กดปิดทิ้งไปอย่างไม่ใยดี นี่คือปัญหาคลาสสิกที่ทำให้เว็บสวยๆ หลายเว็บต้องสูญเสียโอกาสในการ "ปิดการขาย" ไปอย่างน่าเสียดายครับ

Prompt สำหรับภาพประกอบ: ภาพเปรียบเทียบ Before-After ของหน้า About Us ด้านหนึ่งเป็นข้อความยาวพรืดน่าเบื่อ อีกด้านเป็นภาพทีมงานที่ดูมีชีวิตชีวาพร้อม Storytelling ที่น่าสนใจ

ทำไมถึงเกิดปัญหานั้นขึ้น: เรากำลังเล่าเรื่อง "ผิดคน"

สาเหตุหลักที่ทำให้หน้า About Us และ Why Us ส่วนใหญ่ล้มเหลว ไม่ใช่เพราะมัน "ไม่สวย" หรือ "ข้อมูลน้อยไป" ครับ แต่เป็นเพราะเรากำลัง "เล่าเรื่องผิดมุม" เรามักจะเขียนมันขึ้นมาจากมุมมองของ "บริษัท" โดยพยายามจะบอกว่า "เราเจ๋งแค่ไหน" "เราก่อตั้งมาเมื่อไหร่" หรือ "เราได้รับรางวัลอะไรมาบ้าง" ซึ่งทั้งหมดนี้คือการพูดถึง "เรา" (Us)

แต่ในความเป็นจริงแล้ว ลูกค้าที่คลิกเข้ามาหน้านี้ เขามีคำถามในใจเพียงข้อเดียวคือ: “แล้วมันเกี่ยวอะไรกับฉันล่ะ? (What's in it for me?)”

พวกเขาไม่ได้อยากรู้ประวัติศาสตร์โลก แต่เขาอยากรู้ว่า "เรื่องราว" ของคุณจะช่วย "แก้ปัญหา" หรือทำให้ชีวิตของ "เขา" ดีขึ้นได้อย่างไร ปัญหาจึงเกิดจากการที่เรา:

  • โฟกัสที่ "เรา" ไม่ใช่ "ลูกค้า": เล่าแต่เรื่องของตัวเอง จนลืมไปว่าลูกค้าคือพระเอกของเรื่อง
  • นำเสนอ "ข้อมูล" แทนที่จะเล่า "เรื่องราว": การบอกว่า "บริษัทก่อตั้งปี 2010" มันน่าจดจำน้อยกว่าการเล่าว่า "เราเริ่มต้นจาก garagem เล็กๆ ด้วยความเชื่อว่าจะแก้ปัญหา X ให้กับคนไทย"
  • ไม่มีจุดประสงค์ที่ชัดเจน: ไม่รู้ว่าอยากให้ลูกค้า "รู้สึก" หรือ "ทำอะไรต่อ" หลังจากอ่านจบ ทำให้หน้านี้กลายเป็นแค่ข้อมูลลอยๆ ที่ไม่มี Call-to-Action ที่ทรงพลัง การเรียนรู้ วิธีเขียนหน้า About Us ที่ถูกต้อง จึงเป็นการเริ่มต้นแก้ปัญหาที่ตรงจุดที่สุด

Prompt สำหรับภาพประกอบ: ภาพอินโฟกราฟิกง่ายๆ แสดงการเปลี่ยนมุมมอง จาก "We-Focused" (รูปบริษัทใหญ่ๆ) ไปเป็น "You-Focused" (รูปลูกค้ายิ้มแย้มมีความสุข)

ถ้าปล่อยไว้จะส่งผลยังไงบ้าง: ไม่ใช่แค่เสียโอกาส แต่คือการ "ทำลายความเชื่อใจ"

การมีหน้า About Us ที่น่าเบื่อและไร้ทิศทาง ไม่ใช่แค่การ "เสียพื้นที่" บนเว็บไซต์ไปเปล่าๆ นะครับ แต่มันส่งผลกระทบเชิงลบต่อธุรกิจในระยะยาวมากกว่าที่คิด:

1. ทำลาย Customer Journey: ลูกค้าอาจจะกำลังสนใจสินค้าของคุณ แต่พออยากรู้จักคุณมากขึ้นแล้วมาเจอหน้า About Us ที่น่าผิดหวัง ความรู้สึกเชื่อมโยงและความมั่นใจที่กำลังก่อตัวขึ้นก็อาจจะ "พังทลาย" ลงทันที มันเหมือนกับการเดทที่กำลังไปได้สวย แต่อีกฝ่ายกลับเล่าแต่เรื่องของตัวเองจนน่าเบื่อ

2. สูญเสียโอกาสในการสร้างความแตกต่าง: ในตลาดที่การแข่งขันสูง สินค้าและราคาอาจจะใกล้เคียงกัน แต่ "เรื่องราว" และ "ตัวตน" ของแบรนด์คือสิ่งที่ทำให้คุณแตกต่าง ถ้าหน้า About Us ของคุณเหมือนกับคู่แข่งอีก 10 เจ้า คุณก็ไม่ต่างอะไรจาก "ของโหล" ในสายตาลูกค้า

3. ลดทอนความน่าเชื่อถือ: หน้า About Us ที่ดีและแสดงถึงความเป็นมนุษย์ จะสร้างความรู้สึกว่า "เบื้องหลังบริษัทนี้มีคนจริงๆ ที่ใส่ใจ" แต่ถ้ามีแต่ข้อความที่เป็นทางการและไร้ชีวิตชีวา มันจะทำให้ลูกค้ารู้สึกว่ากำลังดีลอยู่กับบริษัทที่ไร้ตัวตนและเข้าถึงยาก สิ่งนี้บั่นทอน องค์ประกอบสำคัญในการสร้างความน่าเชื่อถือบนเว็บไซต์ อย่างมหาศาล

4. พลาดโอกาสในการปิดการขาย: หน้า About Us คือเวทีที่ดีที่สุดในการเปลี่ยนจาก "ผู้ขาย" มาเป็น "ผู้เชี่ยวชาญที่อยากช่วยเหลือ" ถ้าคุณทำได้ดี ลูกค้าจะตัดสินใจซื้อจากคุณ "เพราะเขาเชื่อในตัวตนของคุณ" แต่ถ้าคุณปล่อยโอกาสนี้ไป ก็เท่ากับว่าคุณกำลังบังคับให้ลูกค้าตัดสินคุณจาก "ราคา" เพียงอย่างเดียว

Prompt สำหรับภาพประกอบ: ภาพแสดงเส้นทางของลูกค้า (Customer Journey) ที่กำลังจะไปถึงจุด Conversion (การซื้อ) แต่มีป้าย "ทางตัน" ที่เขียนว่า "Boring About Us" ขวางอยู่

มีวิธีไหนแก้ได้บ้าง และควรเริ่มจากตรงไหน: พลิกมุมมองจาก "เกี่ยวกับเรา" เป็น "เรื่องราวของเรา...เพื่อคุณ"

การแก้ปัญหานี้ง่ายกว่าที่คิดครับ แค่เราต้อง "พลิกสวิตช์" ในสมอง จากการพยายามจะ "นำเสนอข้อมูล" (Presentation) ไปสู่การ "เล่าเรื่องราวที่เชื่อมโยง" (Storytelling) ที่มีลูกค้าเป็นศูนย์กลาง หลักการสำคัญคือการตอบคำถามของลูกค้าให้ได้ว่า "ทำไมฉันควรจะแคร์เรื่องราวของคุณ?"

นี่คือแนวทางที่คุณสามารถเริ่มได้ทันที:

  • เริ่มต้นด้วย "Why" ของคุณ: ไม่ใช่ "What" หรือ "How" แต่เป็น "Why" อะไรคือจุดเริ่มต้น? ความเชื่อ? หรือปัญหาที่คุณเห็นแล้วทนไม่ได้จนต้องลุกขึ้นมาสร้างธุรกิจนี้? นี่คือหัวใจของเรื่องราวทั้งหมด
  • เปลี่ยนประวัติศาสตร์ให้เป็นการเดินทาง: แทนที่จะบอกว่า "ก่อตั้งปี X" ลองเล่าว่า "การเดินทางของเราเริ่มต้นขึ้นเมื่อ..." และเล่าถึงอุปสรรค, ความสำเร็จเล็กๆ, และวิสัยทัศน์ที่ขับเคลื่อนคุณมาจนถึงวันนี้
  • ทำให้มัน "มีชีวิต" ด้วยใบหน้าของคนจริงๆ: ใส่รูปทีมงานที่ดูเป็นธรรมชาติ (ไม่ใช่รูปติดบัตร!) พร้อมคำอธิบายสั้นๆ ที่แสดงถึงตัวตนของพวกเขา สิ่งนี้จะสร้างความรู้สึกเข้าถึงง่ายและน่าเชื่อถืออย่างมหาศาล
  • ใช้ Social Proof และ Trust Signals: ผสานคำชื่นชมจากลูกค้า (Testimonials), รางวัลที่ได้รับ, หรือสถิติที่น่าสนใจเข้าไปในเรื่องราวของคุณ แหล่งข้อมูลชั้นเยี่ยมอย่าง Copyblogger ได้เน้นย้ำถึงพลังของหน้า About Us ที่ทำได้ดีเสมอมา
  • จบด้วย Call-to-Action ที่ชัดเจน: หลังจากที่ลูกค้า "อิน" กับเรื่องราวของคุณแล้ว คุณอยากให้เขาทำอะไรต่อ? ติดต่อเพื่อขอคำปรึกษา? ดูสินค้าที่เกี่ยวข้อง? หรือสมัครรับข่าวสาร? อย่าปล่อยให้เรื่องราวจบลงเฉยๆ แต่จงชี้นำทางให้พวกเขาไปต่อ

จุดเริ่มต้นที่ดีที่สุดคือการตอบคำถามว่า "ถ้าลูกค้าจำอะไรเกี่ยวกับบริษัทเราได้แค่ 3 อย่างจากหน้านี้ เราอยากให้เขาจำอะไร?" คำตอบที่ได้จะเป็นแกนหลักในการสร้างสรรค์หน้า About Us และ Why Us ที่ทรงพลัง และสร้างความเชื่อมั่นตามหลักของ ConversionXL เรื่อง Trust Signals

Prompt สำหรับภาพประกอบ: ภาพอินโฟกราฟิกที่แสดงส่วนประกอบของหน้า About Us ที่สมบูรณ์แบบ (Why, Story, Team, Social Proof, CTA)

ตัวอย่างจากของจริงที่เคยสำเร็จ: จากร้านกาแฟธรรมดา สู่แบรนด์ที่มีแฟนคลับ

ลองนึกภาพตามนะครับ มีร้านขายอุปกรณ์กาแฟดริปออนไลน์อยู่ 2 ร้าน ร้าน A มีหน้า About Us ที่บอกว่า "เราคือผู้นำเข้าอุปกรณ์กาแฟคุณภาพสูง ก่อตั้งปี 2015 มีสินค้ากว่า 500 รายการ" พร้อมรูปโกดังสินค้าใหญ่โต

ในขณะที่ร้าน B มีหน้า About Us ที่เล่าเรื่องว่า "เรื่องราวของเราเริ่มจาก 'พี่บอย' บาริสต้าหนุ่มที่หลงใหลในกาแฟดริป แต่หงุดหงิดที่หาซื้ออุปกรณ์ดีๆ ในราคาที่จับต้องได้ในไทยไม่ได้เลย เขาจึงเริ่มเดินทางไปทั่วโลกเพื่อคัดสรรอุปกรณ์ที่ดีที่สุดด้วยตัวเอง ทดลองใช้ทุกชิ้นจนมั่นใจ และสร้างร้านนี้ขึ้นมาเพื่อแบ่งปัน 'ความสุขหลังแก้วกาแฟ' ให้กับคอกาแฟทุกคน" พร้อมรูปพี่บอยที่กำลังดริปกาแฟอย่างมีความสุข และรีวิวจากลูกค้าที่บอกว่า "ได้ของดีเหมือนมีพี่ชายที่เป็นบาริสต้ามาเลือกให้"

คุณรู้สึกอยากซื้อจากร้านไหนมากกว่ากันครับ?

นี่คือเคสที่เกิดขึ้นจริงกับลูกค้าของเราที่ทำธุรกิจ SME หลังจากปรับหน้า About Us จากแบบร้าน A เป็นแบบร้าน B ผลลัพธ์ที่ได้คือ:

  • Engagement Rate สูงขึ้น 300%: คนใช้เวลาบนหน้านานขึ้นและคลิกไปดูหน้าอื่นต่อ
  • Conversion Rate จากคนเข้าหน้านี้เพิ่มขึ้น 40%: คนที่อ่านเรื่องราวจบ มีแนวโน้มที่จะตัดสินใจซื้อง่ายขึ้น
  • ได้รับอีเมลจากลูกค้า: หลายคนส่งอีเมลมาทักทายและเล่าเรื่องกาแฟของตัวเอง เกิดเป็น Community เล็กๆ ขึ้นมา

นี่คือพลังของการเปลี่ยน "ข้อมูล" ให้เป็น "ความเชื่อมโยง" ที่จับต้องได้ ซึ่งเป็นหัวใจของการเขียน Case Study ที่น่าติดตาม และนำมาปรับใช้กับหน้า About Us ได้อย่างสมบูรณ์แบบ

Prompt สำหรับภาพประกอบ: ภาพเปรียบเทียบหน้า About Us ของร้านกาแฟ 2 แบบ แบบแรกดูเป็นทางการไร้ชีวิตชีวา แบบที่สองดูอบอุ่น มีเรื่องราว และมีรูปเจ้าของร้านที่ดูเป็นมิตร

ถ้าอยากทำตามต้องทำยังไง (ใช้ได้ทันที): Checklist 5 ขั้นตอน ปั้นหน้า About Us ให้เป็นนักขายมือทอง

พร้อมจะลงมือเปลี่ยนหน้า About Us ของคุณแล้วหรือยังครับ? ไม่ต้องคิดเยอะ! ลองทำตาม Checklist 5 ขั้นตอนนี้ได้เลย:

ขั้นตอนที่ 1: ค้นหา "เรื่องราว" ของคุณ (Find Your Origin Story)
หยิบกระดาษปากกามา แล้วตอบคำถามเหล่านี้:

  • เราเริ่มต้นธุรกิจนี้ "ทำไม"? (ไม่ใช่ "อะไร" หรือ "อย่างไร")
  • "ปัญหา" แรกสุดที่เราอยากจะแก้คืออะไร?
  • มี "จุดเปลี่ยน" หรือ "อุปสรรค" อะไรที่น่าจดจำบ้างไหม?
  • "ภาพสุดท้าย" ที่เราอยากเห็นในตัวลูกค้าหลังจากใช้สินค้า/บริการของเราคืออะไร?

ขั้นตอนที่ 2: วางโครงสร้างแบบ "พระเอกภาพยนตร์" (Hero's Journey Structure)
เล่าเรื่องของคุณโดยมี "ลูกค้า" เป็นพระเอก และ "คุณ" เป็นผู้ช่วย (The Guide):

  1. เปิดเรื่อง (The Hook): พูดถึงปัญหาหรือโลกที่ลูกค้ากำลังเผชิญอยู่
  2. แนะนำผู้ช่วย (Introduce The Guide): บอกว่าคุณก็เคยเจอปัญหาคล้ายกัน และนั่นคือจุดเริ่มต้นของคุณ
  3. มอบแผนการ (Give Them a Plan): นำเสนอว่าสินค้า/บริการของคุณจะช่วยให้พวกเขาผ่านพ้นไปได้อย่างไร
  4. สร้างภาพความสำเร็จ (Show Success): ฉายภาพให้เห็นว่าชีวิตของพวกเขาจะดีขึ้นได้อย่างไรเมื่อทำสำเร็จ

ขั้นตอนที่ 3: "โชว์" ไม่ใช่แค่ "เล่า" (Show, Don't Tell)

  • รูปภาพและวิดีโอ: ใช้ภาพเบื้องหลังการทำงานจริง ภาพทีมงานกำลังประชุม หรือวิดีโอสั้นๆ แนะนำออฟฟิศ ความ "จริง" ทรงพลังกว่าความ "สมบูรณ์แบบ" เสมอ
  • ใส่ตัวตนของแบรนด์: คุณเป็นแบรนด์สายฮา? จริงจัง? หรืออบอุ่น? ให้ น้ำเสียงและลีลาการเขียน (Brand Voice & Tone) สะท้อนตัวตนนั้นออกมาอย่างสม่ำเสมอ

ขั้นตอนที่ 4: ตอกย้ำความเชื่อมั่น (Build Undeniable Trust)

  • ฝัง Testimonials ที่ดีที่สุด: เลือกคำชมที่พูดถึง "ผลลัพธ์" ที่จับต้องได้ ไม่ใช่แค่ "บริการดีครับ"
  • แสดงตัวเลขที่น่าทึ่ง: "ช่วยลูกค้าประหยัด X%", "มีผู้ใช้งานแล้วกว่า Y คน", "เรตติ้ง 4.9/5 ดาว"
  • ใส่โลโก้สื่อหรือพาร์ทเนอร์: ถ้าเคยถูกพูดถึงหรือร่วมงานกับแบรนด์ใหญ่ๆ อย่าเก็บไว้คนเดียว!

ขั้นตอนที่ 5: บอกให้ชัดว่าต้องทำอะไรต่อ (Clear Call-to-Action)
หลังจากสร้างความเชื่อมั่นเต็มที่แล้ว อย่าปล่อยให้ลูกค้าเคว้ง! ใส่ปุ่มหรือลิงก์ที่ชัดเจน เช่น:

  • "ดูว่าเราจะช่วยธุรกิจคุณได้อย่างไร [ลิงก์ไปหน้า Services]"
  • "พูดคุยกับทีมงานของเรา [ลิงก์ไปหน้า Contact Us]"
  • "เลือกชมสินค้าที่เหมาะกับคุณ [ลิงก์ไปหน้า Products]"

Prompt สำหรับภาพประกอบ: ภาพ Checklist ขนาดใหญ่ที่สรุป 5 ขั้นตอน พร้อมไอคอนประกอบแต่ละขั้นตอนที่เข้าใจง่าย

คำถามที่คนมักสงสัย และคำตอบที่เคลียร์

ถาม: จำเป็นต้องแยกหน้า 'About Us' กับ 'Why Us' ไหมครับ?
ตอบ: ไม่จำเป็นเสมอไปครับ! สำหรับธุรกิจส่วนใหญ่ โดยเฉพาะ SME คุณสามารถรวมแนวคิดของทั้งสองหน้าไว้ในหน้า 'About Us' หน้าเดียวได้อย่างทรงพลัง โดยใช้เรื่องราว (About Us) เพื่อตอบคำถามว่าทำไมลูกค้าควรเลือกคุณ (Why Us) ไปในตัว แต่ถ้าคุณเป็นองค์กรใหญ่ที่มีหลายแง่มุมที่ต้องสื่อสาร การแยกหน้าก็อาจจะช่วยให้จัดระเบียบข้อมูลได้ดีกว่าครับ

ถาม: บริษัทเพิ่งเปิดใหม่ ยังไม่มีประวัติยาวนานหรือรางวัลอะไรเลย จะเขียนยังไงดี?
ตอบ: ยอดเยี่ยมเลยครับ! นี่คือโอกาสทองของคุณที่จะไม่ต้องยึดติดกับรูปแบบเดิมๆ ให้โฟกัสไปที่ "อนาคต" และ "ความมุ่งมั่น" แทน "อดีต" เล่าเรื่อง "Passion" ของผู้ก่อตั้ง, ปัญหาที่อยากจะแก้ไขอย่างสุดหัวใจ, และ "วิสัยทัศน์" ที่คุณมีต่อลูกค้าและอุตสาหกรรม ความสดใหม่และความตั้งใจจริงใจคือเสน่ห์ที่แบรนด์ใหญ่ๆ เลียนแบบได้ยากครับ

ถาม: ควรเขียนยาวแค่ไหน?
ตอบ: ไม่มีกฎตายตัวครับ หลักการคือ "ยาวเท่าที่จำเป็น แต่ไม่ยาวจนน่าเบื่อ" (As long as necessary, as short as possible) สิ่งสำคัญกว่าความยาวคือ "ความน่าสนใจ" และ "การจัดรูปแบบให้อ่านง่าย" ใช้ย่อหน้าสั้นๆ, มีหัวข้อย่อย, ใช้รูปภาพและ Bullet Points แบ่งส่วนต่างๆ เพื่อให้คนสามารถกวาดสายตาอ่านและจับใจความสำคัญได้อย่างรวดเร็วครับ

ถาม: ใช้รูปถ่ายทีมงานแบบไหนดี ระหว่างรูปสูทผูกไท กับรูปสบายๆ?
ตอบ: เลือกแบบที่ "สะท้อนวัฒนธรรมองค์กรและตรงกับใจลูกค้า" ของคุณที่สุดครับ ถ้าคุณเป็นบริษัทกฎหมายหรือที่ปรึกษาการเงิน ภาพลักษณ์ที่น่าเชื่อือและเป็นทางการอาจจะเหมาะสม แต่ถ้าคุณเป็น Creative Agency หรือสตาร์ทอัพสายเทค รูปที่ดูผ่อนคลาย เป็นกันเอง และแสดงถึงความคิดสร้างสรรค์อาจจะเชื่อมโยงกับลูกค้าได้ดีกว่า กุญแจสำคัญคือ "ความจริงใจ" (Authenticity) ครับ

Prompt สำหรับภาพประกอบ: ไอคอนรูปเครื่องหมายคำถาม (?) ขนาดใหญ่ ล้อมรอบด้วยไอคอนเล็กๆ ที่สื่อถึงคำถามแต่ละข้อ (นาฬิกา, ถ้วยรางวัล, ไม้บรรทัด, เสื้อเชิ้ต)

สรุปให้เข้าใจง่าย + อยากให้ลองลงมือทำ

มาถึงตรงนี้ ผมหวังว่าคุณจะมองหน้า 'About Us' และ 'Why Us' ด้วยสายตาที่เปลี่ยนไปนะครับ มันไม่ใช่แค่ "หน้าที่ต้องมี" ตามธรรมเนียมอีกต่อไป แต่มันคือ "สินทรัพย์ทางการตลาด" ที่ทรงพลัง คือ "เวทีเล่าเรื่อง" ที่จะสร้างความแตกต่าง และเป็น "นักขายเงียบ" ที่ทำงานให้คุณตลอด 24 ชั่วโมง

หัวใจสำคัญที่สุดคือการเปลี่ยนโฟกัสจาก "เรื่องของฉัน" มาเป็น "เรื่องของเรามันจะไปช่วยคุณได้อย่างไร" เล่าเรื่องราวที่มาพร้อมกับความจริงใจ, แสดงให้เห็นถึงใบหน้าและหัวใจของคนที่อยู่เบื้องหลัง, สร้างความไว้วางใจที่จับต้องได้ และปิดท้ายด้วยการเชื้อเชิญให้ลูกค้าเดินทางไปกับคุณต่ออย่างชัดเจน

อย่าปล่อยให้หน้าเว็บที่มีศักยภาพสูงขนาดนี้ กลายเป็นเพียงข้อมูลที่ถูกลืมอีกต่อไปเลยครับ ลองนำ Checklist ในบทความนี้ไปปรับใช้ดู ผมรับรองว่าคุณจะเห็นความเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้นอย่างแน่นอน

พร้อมที่จะเปลี่ยนหน้า 'เกี่ยวกับเรา' ที่น่าเบื่อให้กลายเป็น 'เครื่องมือปิดการขาย' ที่ทรงพลังแล้วหรือยังครับ?

หากคุณต้องการผู้เชี่ยวชาญที่เข้าใจทั้งเรื่อง Storytelling และ Conversion มาช่วยคุณสร้างสรรค์เว็บไซต์ที่ไม่ได้แค่สวย แต่ยังขายของได้จริง ลองดู บริการพัฒนาเว็บไซต์องค์กร ของเราสิครับ หรือหากต้องการเจาะลึกเรื่องการออกแบบประสบการณ์ผู้ใช้โดยเฉพาะ ทีม ออกแบบ UX/UI ของเราพร้อมให้คำปรึกษาเพื่อเปลี่ยนทุกคลิกให้มีความหมายและสร้างยอดขายให้คุณครับ!

แชร์

Recent Blog

Case Study: เราปั้นเว็บไซต์ SaaS Startup ให้มี Sign Up เพิ่มขึ้น 500% ได้อย่างไร

เจาะลึกเบื้องหลังเคสรีดีไซน์เว็บไซต์ให้ SaaS Startup โดยใช้หลัก CRO และ UX เพื่อเพิ่ม Conversion Rate และจำนวนผู้ลงทะเบียนใช้งาน

จ้างทำเว็บไซต์ราคาเท่าไหร่? เปิดงบประมาณที่สมเหตุสมผลสำหรับเว็บแต่ละประเภท

แจกแจงรายละเอียดค่าใช้จ่ายในการทำเว็บไซต์แต่ละประเภท ตั้งแต่เว็บ SME, Corporate, E-Commerce ไปจนถึงเว็บ Custom พร้อมปัจจัยที่ส่งผลต่อราคา

Information Architecture (IA) คืออะไร? และทำไมมันคือกระดูกสันหลังของเว็บไซต์ที่ใช้งานง่าย

อธิบายหลักการของ Information Architecture (IA) หรือสถาปัตยกรรมข้อมูล ว่าช่วยจัดระเบียบเนื้อหาและเมนูบนเว็บให้ผู้ใช้หาข้อมูลเจอง่ายได้อย่างไร