🔥 แค่ 5 นาที เปลี่ยนมุมมองได้เลย

จ้างทำเว็บไซต์ราคาเท่าไหร่? เปิดงบประมาณที่สมเหตุสมผลสำหรับเว็บแต่ละประเภท

ยาวไป อยากเลือกอ่าน?

"เว็บสวยอย่างเดียวไม่พอ" ปัญหาโลกแตกของคนอยากจ้างทำเว็บ แต่ไม่รู้จะเริ่มตั้งงบยังไง?

เคยเป็นไหมครับ? ในฐานะเจ้าของธุรกิจ คุณรู้ดีว่าการมีเว็บไซต์เปรียบเสมือนการมี "หน้าร้าน" หรือ "เซลส์แมน" ที่ทำงานให้คุณตลอด 24 ชั่วโมง แต่พอเริ่มจะลงมือทำจริงจัง คำถามแรกที่เด้งขึ้นมาในหัวก็คือ "แล้ว...จ้างทำเว็บไซต์มันราคาเท่าไหร่กันแน่?" คุณลองไปถามเจ้าหนึ่งได้ราคามา 30,000 บาท พอไปถามอีกเอเจนซี่กลับได้ใบเสนอราคามา 300,000 บาท! ความแตกต่างที่มหาศาลนี้ทำให้คุณสับสน ไม่แน่ใจว่าราคาไหนคือราคาที่ "สมเหตุสมผล" กันแน่ กลัวจะจ่ายถูกไปแล้วได้เว็บที่ไม่มีคุณภาพ หรือจ่ายแพงเกินความจำเป็นจนงบบานปลาย ปัญหานี้ไม่ใช่เรื่องแปลกเลยครับ แต่เป็นสิ่งที่เจ้าของธุรกิจเกือบทุกคนต้องเจอ

ทำไมราคาทำเว็บไซต์ถึงต่างกันฟ้ากับเหว?

สาเหตุที่ราคาทำเว็บไซต์มีความหลากหลาย ไม่ใช่เพราะมีการ "โก่งราคา" เสมอไปครับ แต่เป็นเพราะคำว่า "เว็บไซต์" นั้นไม่ได้เป็นสินค้าชิ้นเดียวที่มีมาตรฐานเหมือนกันหมด ลองนึกภาพตามนะครับ การสร้างเว็บไซต์ก็เหมือนการ "สร้างบ้าน" ครับ บ้านชั้นเดียวหลังเล็กๆ ย่อมมีราคาต่างจากคฤหาสน์ 3 ชั้นพร้อมสระว่ายน้ำและโรงรถอย่างสิ้นเชิง ปัจจัยหลักที่ทำให้ราคาแตกต่างกันลิบลับมาจากขอบเขตของงานที่ซับซ้อนไม่เท่ากันครับ:

  • ประเภทของเว็บไซต์: เว็บไซต์ให้ข้อมูลบริษัท (Corporate Website) ย่อมมีความซับซ้อนและราคาต่างจากเว็บขายของออนไลน์ (E-Commerce) ที่มีระบบตะกร้าสินค้าและตัดบัตรเครดิต
  • จำนวนฟีเจอร์และระบบหลังบ้าน: เว็บไซต์ที่ต้องการฟังก์ชันพิเศษ เช่น ระบบ Booking, ระบบสมาชิก, หรือการเชื่อมต่อกับโปรแกรมอื่นๆ ย่อมมีราคาสูงกว่าเว็บที่มีแค่หน้าข้อมูลทั่วไป
  • คุณภาพของการออกแบบ (UX/UI): การออกแบบที่เน้นประสบการณ์ผู้ใช้ (User Experience) ให้ใช้งานง่ายและสวยงาม (User Interface) ต้องอาศัยการวิเคราะห์และวางแผนอย่างละเอียด ซึ่งส่งผลโดยตรงต่อราคา
  • ผู้ให้บริการ: การจ้างงานระหว่าง เอเจนซี่กับฟรีแลนซ์ ก็ให้โครงสร้างราคาและบริการที่แตกต่างกัน เอเจนซี่มักจะมีทีมงานครบวงจร ในขณะที่ฟรีแลนซ์อาจจะเชี่ยวชาญเฉพาะด้าน
  • แพลตฟอร์มที่ใช้: ต้นทุนในการพัฒนาเว็บด้วย WordPress เทียบกับ Webflow หรือการเขียนโค้ดขึ้นมาใหม่ทั้งหมด (Custom Code) ก็มีโครงสร้างราคาที่แตกต่างกันอย่างชัดเจน

ถ้าตั้งงบผิดพลาด...อะไรคือ "ราคา" ที่คุณต้องจ่ายจริง ๆ?

การตัดสินใจเลือกทำเว็บไซต์โดยดูที่ "ราคาถูกที่สุด" เพียงอย่างเดียว หรือการ "อนุมัติงบไปโดยไม่เข้าใจ" อาจนำมาซึ่งผลกระทบที่เจ็บปวดกว่าที่คิด และ "ราคา" ที่แท้จริงที่คุณต้องจ่ายอาจไม่ใช่แค่ตัวเลขในใบเสนอราคาครับ

  • ผลกระทบของการเลือก "ของถูก": คุณอาจได้เว็บไซต์ที่ดูไม่เป็นมืออาชีพ, โหลดช้า, ไม่รองรับมือถือ (Mobile-Friendly), และมีโครงสร้างที่ไม่เอื้อต่อการทำ SEO ผลลัพธ์คือ คุณเสียเงินไปฟรีๆ โดยที่เว็บไม่สามารถสร้างลูกค้าหรือสร้างความน่าเชื่อถือได้เลย สุดท้ายก็ต้องกลับมาทำใหม่อยู่ดี กลายเป็นการ "เสียน้อยเสียยาก เสียมากเสียง่าย"
  • ผลกระทบของการเลือก "ของแพง" โดยไม่จำเป็น: การจ่ายเงินให้กับฟังก์ชันที่คุณไม่ได้ใช้ ก็เหมือนการซื้อรถสปอร์ตมาเพื่อขับไปจ่ายตลาด คุณสูญเสียงบประมาณที่ควรจะนำไปใช้ในการตลาดหรือพัฒนาส่วนอื่นของธุรกิจไปอย่างน่าเสียดาย
  • ผลกระทบของการ "ไม่ตัดสินใจ": นี่คือต้นทุนค่าเสียโอกาสที่ร้ายแรงที่สุดครับ ในขณะที่คุณยังลังเล คู่แข่งของคุณกำลังเดินหน้าสร้างตัวตนบนโลกออนไลน์, เก็บข้อมูลลูกค้า, และสร้างยอดขายไปไกลแล้ว การไม่มีเว็บไซต์ที่มีประสิทธิภาพในยุคนี้ ก็เหมือนการปิดประตูใส่โอกาสทางธุรกิจมหาศาลที่วิ่งเข้ามาหาทุกวัน

เปิดงบ! ราคาทำเว็บไซต์แต่ละประเภทอยู่ที่เท่าไหร่ และควรเริ่มคิดจากตรงไหน?

หัวใจสำคัญคือการเปลี่ยนคำถามจาก "ราคาเท่าไหร่?" เป็น "ฉันต้องการให้เว็บไซต์ทำอะไรให้ธุรกิจของฉัน?" เมื่อคุณมีเป้าหมายที่ชัดเจน การประเมินงบประมาณจะสมเหตุสมผลมากขึ้นทันทีครับ โดยทั่วไปเราสามารถแบ่งประเภทเว็บไซต์และช่วงราคา (อัปเดตปี 2025) ได้ดังนี้:

  • 1. เว็บไซต์ธุรกิจขนาดเล็ก / เว็บไซต์ส่วนตัว (SME/Portfolio Website):
    • เป้าหมาย: สร้างความน่าเชื่อถือ, แสดงผลงาน, ให้ข้อมูลติดต่อ
    • ฟีเจอร์หลัก: 5-10 หน้า (หน้าแรก, เกี่ยวกับเรา, บริการ, ผลงาน, ติดต่อเรา)
    • ช่วงราคาโดยประมาณ: 30,000 - 80,000 บาท
  • 2. เว็บไซต์องค์กร (Corporate Website):
    • เป้าหมาย: สร้างภาพลักษณ์แบรนด์, ให้ข้อมูลนักลงทุน, ประกาศข่าวสาร, รับสมัครงาน
    • ฟีเจอร์หลัก: 10-25 หน้า, ระบบจัดการเนื้อหา (CMS), Blog, ฟอร์มซับซ้อน, อาจมีหลายภาษา
    • ช่วงราคาโดยประมาณ: 80,000 - 250,000 บาท
  • 3. เว็บไซต์อีคอมเมิร์ซ (E-Commerce Website):
    • เป้าหมาย: ขายสินค้าออนไลน์
    • ฟีเจอร์หลัก: ระบบจัดการสินค้า, ตะกร้าสินค้า, ระบบชำระเงิน, ระบบสมาชิก, โปรโมชัน
    • ช่วงราคาโดยประมาณ: 100,000 - 500,000+ บาท (ขึ้นอยู่กับจำนวนสินค้าและความซับซ้อน)
  • 4. เว็บแอปพลิเคชัน / เว็บไซต์ Custom (Custom Web Application):
    • เป้าหมาย: ให้บริการฟังก์ชันเฉพาะทาง (เช่น ระบบจอง, แพลตฟอร์มการเรียนรู้, ระบบจัดการลูกค้า)
    • ฟีเจอร์หลัก: พัฒนาขึ้นมาใหม่ทั้งหมดตามโจทย์เฉพาะของธุรกิจ
    • ช่วงราคาโดยประมาณ: 300,000 - 2,000,000+ บาท

ราคาเหล่านี้เป็นเพียงการประเมินเบื้องต้น แหล่งข้อมูลที่น่าเชื่อถืออย่าง Forbes Advisor และ Google's web.dev ก็ได้ให้แนวทางเรื่องปัจจัยที่ส่งผลต่อราคาไว้เช่นกัน ซึ่งทั้งหมดขึ้นอยู่กับความซับซ้อนและเวลาที่ใช้ในการพัฒนานั่นเองครับ

ตัวอย่างจากของจริง: เมื่อ "ร้านเฟอร์นิเจอร์" ลงทุนกับเว็บที่ใช่ ยอดขายโต 3 เท่า!

ลองดูเรื่องราวของ "Woodwork Wonders" (นามสมมติ) ร้านขายเฟอร์นิเจอร์ไม้ทำมือที่เคยมีแค่หน้าเพจ Facebook กับเว็บไซต์เก่าๆ ที่ลูกค้าสั่งของไม่ได้จริง ยอดขายส่วนใหญ่จึงมาจากหน้าร้านและลูกค้าเก่าๆ เท่านั้น

ปัญหา: เว็บไซต์เดิมให้ข้อมูลไม่ครบถ้วน, รูปภาพไม่สวย, และที่สำคัญคือลูกค้าไม่สามารถกดสั่งซื้อและปรับแต่งออเดอร์ผ่านหน้าเว็บได้เลย ทำให้เสียโอกาสจากลูกค้าออนไลน์ไปมหาศาล

ทางออก: พวกเขาตัดสินใจลงทุนในงบประมาณ 180,000 บาท เพื่อสร้างเว็บไซต์ E-Commerce ใหม่ทั้งหมด โดยเน้นการออกแบบ UX/UI ให้ลูกค้าสามารถดูรูปเฟอร์นิเจอร์ได้หลายๆ มุม, มีฟังก์ชัน "ปรับแต่ง" (เลือกสีไม้, ขนาด) และมีขั้นตอนการสั่งซื้อที่ง่ายและรวดเร็วจบในไม่กี่คลิก

ผลลัพธ์: ภายใน 6 เดือนหลังจากเปิดตัวเว็บไซต์ใหม่ ยอดขายออนไลน์ของ "Woodwork Wonders" เติบโตขึ้น 300% พวกเขาได้ฐานลูกค้าใหม่ๆ จากทั่วประเทศที่ไม่เคยรู้จักร้านมาก่อน และเว็บไซต์กลายเป็นเครื่องมือทำการตลาดที่ทรงพลังที่สุดของแบรนด์ การลงทุนครั้งนี้ไม่เพียงคืนทุนอย่างรวดเร็ว แต่ยังเป็นการเปิดประตูสู่การเติบโตที่ยั่งยืนอีกด้วย นี่คือพลังของการลงทุนกับ เว็บไซต์ที่ใช่สำหรับธุรกิจ SME อย่างแท้จริง

อยากตั้งงบทำเว็บให้เป๊ะ? Checklist 5 ขั้นตอนที่เจ้าของธุรกิจทำตามได้ทันที

เพื่อให้การเตรียมงบประมาณของคุณแม่นยำและคุ้มค่าที่สุด ลองใช้ Checklist 5 ขั้นตอนง่ายๆ นี้ดูครับ การเตรียมตัวที่ดีจะช่วยให้คุณคุยกับเอเจนซี่หรือฟรีแลนซ์ได้เข้าใจตรงกัน และได้ใบเสนอราคาที่สะท้อนความต้องการของคุณจริงๆ

  1. กำหนดเป้าหมายหลักของเว็บไซต์ (The #1 Goal): ลิสต์ออกมาให้ชัดเจนว่าเป้าหมายที่สำคัญที่สุด 1-3 อย่างของเว็บนี้คืออะไร? (เช่น 1. เพิ่มยอดขายออนไลน์ 20% 2. หากลุ่มลูกค้าใหม่เดือนละ 50 ราย 3. สร้างภาพลักษณ์แบรนด์ให้ดูพรีเมียม)
  2. ลิสต์ฟีเจอร์ที่ "ต้องมี" (Must-Have Features): เขียนรายการฟังก์ชันที่คุณคิดว่า "ขาดไม่ได้" สำหรับธุรกิจของคุณ เช่น ระบบตะกร้าสินค้า, ระบบจองคิว, แกลเลอรีผลงาน, Blog, หรือฟอร์มคำนวณราคา. สำหรับเว็บองค์กร ลองดู Checklist สำหรับเว็บ Corporate เพื่อเป็นแนวทางได้ครับ
  3. รวบรวม "เว็บตัวอย่าง" ที่คุณชอบ: หาตัวอย่างเว็บไซต์ของคู่แข่งหรือเว็บในธุรกิจอื่นๆ ที่คุณชอบสไตล์การออกแบบและฟังก์ชันการใช้งาน แล้วลิสต์ออกมาว่าคุณ "ชอบ" และ "ไม่ชอบ" อะไรในเว็บเหล่านั้น
  4. เตรียมเนื้อหาเบื้องต้น (Content First): การมีโลโก้, ข้อความเกี่ยวกับบริษัท, รูปภาพสินค้าหรือบริการ เตรียมไว้ล่วงหน้า จะช่วยให้ผู้พัฒนาประเมินขอบเขตงานและระยะเวลาได้แม่นยำขึ้นมาก ลองใช้ Checklist สำหรับเว็บ SME เพื่อดูว่าต้องเตรียมอะไรบ้าง
  5. ร่างเอกสารสรุปความต้องการ (Brief): นำข้อมูลจากข้อ 1-4 มารวมกันเป็นเอกสารสั้นๆ เพื่อส่งให้ผู้รับทำเว็บไซต์หลายๆ เจ้าเปรียบเทียบราคา นี่เป็นวิธีที่เป็นมืออาชีพที่สุดในการของบประมาณที่แม่นยำ

คำถามที่คนมักสงสัย (และคำตอบที่เคลียร์ที่สุด)

Q1: ทำไมทำเว็บแล้วต้องมี "ค่าบริการรายปี" ด้วย?
A: ค่าบริการรายปีส่วนใหญ่คือค่า "โดเมน" (ชื่อเว็บไซต์ของคุณ .com, .co.th) และค่า "โฮสติ้ง" (พื้นที่สำหรับเก็บข้อมูลเว็บไซต์บนอินเทอร์เน็ต) ซึ่งเป็นค่าใช้จ่ายพื้นฐานที่ต้องจ่ายทุกปีเพื่อให้เว็บไซต์ของคุณออนไลน์อยู่เสมอ บางครั้งอาจรวมถึงค่าดูแลระบบ (Maintenance) เพื่ออัปเดตความปลอดภัยและแก้ไขปัญหาเล็กๆ น้อยๆ ด้วยครับ

Q2: ใช้เว็บสำเร็จรูปอย่าง Wix หรือ Squarespace แทนได้ไหม จะได้ประหยัด?
A: สำหรับธุรกิจที่เพิ่งเริ่มต้นและต้องการเว็บที่ง่ายมากๆ ก็สามารถใช้เป็นจุดสตาร์ทได้ครับ แต่ข้อจำกัดคือเรื่องความยืดหยุ่นในการออกแบบ, ข้อจำกัดในการทำ SEO เชิงลึก, และปัญหาเรื่องการย้ายข้อมูลเมื่อธุรกิจเติบโต หากมองการณ์ไกล การลงทุนกับแพลตฟอร์มที่ขยายขีดความสามารถได้ดีกว่าอย่าง Webflow หรือ WordPress มักจะคุ้มค่ากว่าในระยะยาว

Q3: ราคาที่เสนอมา รวมการทำ SEO ให้ติดหน้าแรก Google เลยไหม?
A: โดยทั่วไป ราคาจ้างทำเว็บไซต์จะรวมแค่ "การปรับโครงสร้างพื้นฐานให้เป็นมิตรกับ SEO" (Technical SEO On-page) เท่านั้นครับ แต่ไม่รวมบริการทำคอนเทนต์, สร้าง Backlink, หรือการทำ SEO ต่อเนื่องเพื่อให้ติดอันดับใน Keyword ที่มีการแข่งขันสูง ซึ่งบริการเหล่านั้นจะเป็นอีกส่วนหนึ่งที่เรียกว่า "SEO รายเดือน"

Q4: ปกติแล้วใช้เวลาทำเว็บไซต์นานแค่ไหน?
A: ระยะเวลาขึ้นอยู่กับความซับซ้อนของเว็บไซต์ครับ โดยเฉลี่ยแล้ว เว็บไซต์ SME อาจใช้เวลา 4-6 สัปดาห์, เว็บไซต์ Corporate อาจใช้เวลา 6-12 สัปดาห์, และเว็บไซต์ E-Commerce หรือเว็บ Custom อาจใช้เวลา 3-6 เดือนขึ้นไป การเตรียมข้อมูลและเนื้อหาที่ครบถ้วนจากฝั่งลูกค้าจะช่วยให้กระบวนการรวดเร็วขึ้นมากครับ

สรุป: การเลือกทำเว็บไซต์ ไม่ใช่การหา "ของถูก" แต่คือการหา "ความคุ้มค่า"

มาถึงตรงนี้ ผมหวังว่าคุณจะเห็นภาพชัดเจนขึ้นแล้วนะครับว่า การตั้งงบประมาณทำเว็บไซต์ไม่ใช่การมองหาป้ายราคาที่ถูกที่สุด แต่คือการลงทุนที่ชาญฉลาดเพื่อให้ได้มาซึ่ง "เครื่องมือ" ที่จะช่วยให้ธุรกิจของคุณเติบโต เว็บไซต์ที่ "ใช่" จะเป็นเหมือนสินทรัพย์ดิจิทัลที่ทำงานให้คุณอย่างไม่เหน็ดเหนื่อย ช่วยสร้างความน่าเชื่อถือ, ดึงดูดลูกค้าใหม่, และปิดการขายได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ดังนั้น ก่อนจะถามว่า "ราคาเท่าไหร่?" ลองถามตัวเองก่อนว่า "เว็บไซต์นี้จะสร้างมูลค่ากลับมาให้ธุรกิจของฉันได้อย่างไรบ้าง?" เมื่อคุณมองมันในฐานะ "การลงทุน" ไม่ใช่ "ค่าใช้จ่าย" คุณจะสามารถตัดสินใจเลือกผู้ให้บริการและงบประมาณที่ "คุ้มค่า" และ "เหมาะสม" กับเป้าหมายการเติบโตของคุณได้อย่างแท้จริง

ถึงเวลาเปลี่ยนความลังเลให้เป็นการลงมือทำแล้วครับ! หากคุณกำลังมองหา เว็บไซต์องค์กรที่ดูเป็นมืออาชีพ หรือต้องการพันธมิตรที่เข้าใจธุรกิจ SME อย่ารอช้า! ปรึกษาทีมงานผู้เชี่ยวชาญของเราเพื่อรับใบเสนอราคาที่โปร่งใสและสมเหตุสมผลได้เลยวันนี้!

แชร์

Recent Blog

Case Study: เราปั้นเว็บไซต์ SaaS Startup ให้มี Sign Up เพิ่มขึ้น 500% ได้อย่างไร

เจาะลึกเบื้องหลังเคสรีดีไซน์เว็บไซต์ให้ SaaS Startup โดยใช้หลัก CRO และ UX เพื่อเพิ่ม Conversion Rate และจำนวนผู้ลงทะเบียนใช้งาน

จ้างทำเว็บไซต์ราคาเท่าไหร่? เปิดงบประมาณที่สมเหตุสมผลสำหรับเว็บแต่ละประเภท

แจกแจงรายละเอียดค่าใช้จ่ายในการทำเว็บไซต์แต่ละประเภท ตั้งแต่เว็บ SME, Corporate, E-Commerce ไปจนถึงเว็บ Custom พร้อมปัจจัยที่ส่งผลต่อราคา

Information Architecture (IA) คืออะไร? และทำไมมันคือกระดูกสันหลังของเว็บไซต์ที่ใช้งานง่าย

อธิบายหลักการของ Information Architecture (IA) หรือสถาปัตยกรรมข้อมูล ว่าช่วยจัดระเบียบเนื้อหาและเมนูบนเว็บให้ผู้ใช้หาข้อมูลเจอง่ายได้อย่างไร