🔥 แค่ 5 นาที เปลี่ยนมุมมองได้เลย

วิธีคำนวณ ROI จากการทำเว็บไซต์ใหม่ให้เห็นเป็นตัวเลขที่จับต้องได้

ยาวไป อยากเลือกอ่าน?

"ทำเว็บไปเป็นล้าน...แล้วมันคุ้มค่าจริงเหรอ?" เปิดสูตรคำนวณ ROI เว็บไซต์ใหม่ ที่เจ้าของธุรกิจต้องรู้! (ฉบับจับมือทำ)

เจ้าของธุรกิจทุกท่านครับ! เคยรู้สึกแบบนี้ไหมครับ? เราทุ่มเงินก้อนโต ทั้งค่าออกแบบ ค่าพัฒนา จ้างทีมงานทำเว็บไซต์ใหม่ซะสวยหรู อลังการ... แต่พอมีคนถามว่า "แล้วมันคุ้มไหม?" เรากลับได้แต่อ้ำๆ อึ้งๆ ตอบได้แค่ว่า "เว็บก็สวยดีนะ" หรือ "คนเข้าเยอะขึ้น"... แต่ถ้าถามเป็น "ตัวเลข" ว่ามันทำเงินกลับมาให้ธุรกิจเท่าไหร่? เรากลับตอบไม่ได้! ความรู้สึกเหมือนตำน้ำพริกละลายแม่น้ำแบบนี้ จะไม่เกิดขึ้นอีกต่อไปครับ เพราะวันนี้ ผมจะมาเผย "สูตรลับ" ที่จะเปลี่ยนเว็บไซต์ของคุณจาก "ค่าใช้จ่าย" ให้กลายเป็น "เครื่องจักรทำเงิน" ที่วัดผลได้จริง ด้วยการคำนวณ ROI ที่ง่ายกว่าที่คิด!

ปัญหาที่เจอจริงในชีวิต

ปัญหาคลาสสิกที่เจ้าของธุรกิจแทบทุกคนต้องเจอคือ "การวัดความคุ้มค่าของการทำเว็บไซต์" ครับ เราลงทุนไปหลายแสนหรืออาจจะถึงล้านบาท เราเห็นแค่ "ต้นทุน" ที่จ่ายออกไปเป็นตัวเลขในบัญชี แต่เราไม่เคยเห็น "ผลตอบแทน" กลับมาเป็นตัวเลขที่ชัดเจนเลยสักครั้ง สุดท้ายเว็บไซต์ก็กลายเป็นแค่ "โบรชัวร์ออนไลน์" สวยๆ ที่มีไว้ให้ลูกค้าดู แต่ไม่รู้เลยว่ามันช่วยให้ธุรกิจเติบโตขึ้นจริงๆ หรือไม่ คำถามที่ค้างคาใจอยู่เสมอคือ "เงินที่จ่ายไป มันเปลี่ยนเป็นยอดขายกลับมาได้เท่าไหร่กันแน่?" ความไม่ชัดเจนนี้ทำให้เราไม่กล้าลงทุนกับการตลาดออนไลน์ต่อ และทำให้เราพลาดโอกาสทางธุรกิจไปอย่างน่าเสียดาย

Prompt สำหรับภาพประกอบ: ภาพเจ้าของธุรกิจนั่งกุมขมับอยู่หน้าคอมพิวเตอร์ที่แสดงเว็บไซต์สวยงาม แต่มีเครื่องหมายคำถาม (?) ตัวใหญ่ๆ ลอยอยู่เหนือจอ พร้อมกับมีบิลค่าใช้จ่ายวางอยู่บนโต๊ะ

ทำไมถึงเกิดปัญหานั้นขึ้น

ปัญหานี้ไม่ได้เกิดเพราะเว็บไซต์ไม่ดีนะครับ แต่เกิดจาก "การขาดการวางแผนเพื่อวัดผล" ตั้งแต่แรกเริ่ม เรามักจะมองว่าการทำเว็บไซต์เป็นโปรเจกต์ของฝ่าย "ดีไซน์" หรือ "IT" ที่เน้นแค่ความสวยงามและฟังก์ชันการใช้งานให้ครบ แต่เราลืมมองในมุมของ "นักธุรกิจ" ที่ต้องตั้งเป้าหมายที่วัดผลได้ (Measurable Goals) ให้กับเว็บไซต์ครับ เราไม่ได้กำหนดว่า "ตัวชี้วัดความสำเร็จ (KPIs)" ของเว็บนี้คืออะไร? เราต้องการ "ยอดขายที่เพิ่มขึ้น", "จำนวนลูกค้าใหม่ (Leads)", หรือ "การจองคิวบริการ" กันแน่? เมื่อไม่มีเป้าหมายที่ชัดเจน ก็ไม่มีการเก็บข้อมูลที่ถูกต้อง และเมื่อไม่มีข้อมูล ก็ไม่สามารถคำนวณความคุ้มค่าได้ ทำให้เว็บไซต์กลายเป็นเพียงสินทรัพย์ที่ "ประเมินค่าไม่ได้" ในทางธุรกิจ

Prompt สำหรับภาพประกอบ: ภาพแผนผังความคิด (Mind Map) ที่แตกแขนงมาจากคำว่า "ทำเว็บไซต์ใหม่" แต่มีแต่กิ่งก้านของ "ดีไซน์", "สี", "ฟอนต์" แต่ไม่มีกิ่งก้านของ "เป้าหมายธุรกิจ", "KPIs", "ยอดขาย" เลย

ถ้าปล่อยไว้จะส่งผลยังไงบ้าง

การปล่อยให้เว็บไซต์เป็นเพียง "กล่องดำ" ที่วัดผลไม่ได้ จะส่งผลเสียต่อธุรกิจในระยะยาวมากกว่าที่คิดครับ 1. ตัดสินใจทางธุรกิจผิดพลาด: คุณจะไม่รู้เลยว่ากลยุทธ์การตลาดดิจิทัลที่ทำอยู่ได้ผลหรือไม่ ควรจะเพิ่มงบโฆษณาที่ช่องทางไหน หรือควรจะปรับปรุงเนื้อหาส่วนไหนบนเว็บไซต์ ทุกการตัดสินใจจะอยู่บนพื้นฐานของ "ความรู้สึก" ไม่ใช่ "ข้อมูลจริง" 2. ไม่สามารถขยายการลงทุนได้: คุณจะไม่สามารถไปนำเสนอแผนของบประมาณการตลาดเพิ่มเติมจากบอร์ดบริหารหรือฝ่ายบัญชีได้เลย เพราะไม่มีตัวเลขมายืนยันว่าการลงทุนครั้งก่อนมันสร้างผลตอบแทนกลับมาอย่างไร 3. เสียโอกาสให้คู่แข่ง: ในขณะที่คุณยัง "คลำทาง" อยู่ในความมืด คู่แข่งของคุณที่วัดผลเป็น อาจจะกำลังทุ่มงบไปกับช่องทางที่สร้างกำไรสูงสุด และทิ้งห่างคุณไปไกลแล้ว สุดท้าย การลงทุนทำเว็บไซต์ของคุณอาจจะ "สูญเปล่า" เพราะไม่สามารถพิสูจน์คุณค่าของตัวเองได้

Prompt สำหรับภาพประกอบ: ภาพกราฟเส้น 2 เส้น โดยเส้นหนึ่งเป็นของบริษัทเราที่วิ่งเป็นเส้นตรง (ไม่เติบโต) และอีกเส้นเป็นของคู่แข่งที่พุ่งทะยานขึ้นฟ้า สะท้อนถึงการเติบโตที่แตกต่างกัน

มีวิธีไหนแก้ได้บ้าง และควรเริ่มจากตรงไหน

วิธีแก้ปัญหานี้ตรงไปตรงมาและทรงพลังมากครับ นั่นคือการ "คำนวณผลตอบแทนจากการลงทุน" หรือ "Return on Investment (ROI)" นั่นเอง หัวใจของมันง่ายนิดเดียวครับ คือการเปรียบเทียบ "กำไรที่ได้จากเว็บไซต์" กับ "เงินที่ลงทุนไปกับเว็บไซต์" โดยมีสูตรพื้นฐานดังนี้ครับ

$$ ROI (\%) = \frac{(รายได้สุทธิจากเว็บไซต์ - ต้นทุนทั้งหมดของเว็บไซต์)}{ต้นทุนทั้งหมดของเว็บไซต์} \times 100 $$

เริ่มต้นจากตรงไหน?

  • 1. แจกแจง "ต้นทุนทั้งหมดของเว็บไซต์ (Cost of Investment)": ลิสต์ออกมาให้หมดครับ ไม่ว่าจะเป็นค่าออกแบบและพัฒนาเว็บ, ค่าโฮสติ้งรายปี, ค่าโดเมน, ค่าดูแลรักษา (Maintenance), ค่าปลั๊กอินหรือเครื่องมือต่างๆ, และที่สำคัญคือ "งบการตลาด" ที่ใช้โปรโมทเว็บไซต์ด้วย
  • 2. ระบุ "รายได้จากเว็บไซต์ (Gain from Investment)": ส่วนนี้อาจจะซับซ้อนกว่าเล็กน้อย แต่เป็นไปได้ครับ
    • ถ้าเป็นเว็บ E-commerce: คือ "ยอดขาย" ที่เกิดขึ้นผ่านเว็บไซต์โดยตรง
    • ถ้าเป็นเว็บธุรกิจบริการ/B2B: คือ "มูลค่าของลูกค้าใหม่ (Leads)" ที่ได้จากเว็บ เช่น คนที่กรอกฟอร์มติดต่อ, โทรเข้ามา, หรือทักแชทเข้ามา ซึ่งเราต้องประเมินมูลค่าของแต่ละ Lead ออกมาเป็นตัวเงิน
    • รายได้ทางอ้อม: เช่น การลดต้นทุนการบริการลูกค้าผ่านหน้า FAQ, การสร้าง Brand Awareness ที่ส่งผลต่อยอดขายหน้าร้าน (ส่วนนี้อาจจะวัดผลยากกว่า แต่ก็สามารถประเมินได้)

เมื่อคุณมีตัวเลขทั้ง 2 ส่วนนี้ครบแล้ว ก็แค่นำไปใส่ในสูตร คุณก็จะเห็นความคุ้มค่าของเว็บไซต์เป็นตัวเลขที่จับต้องได้ทันทีครับ การศึกษาจากแหล่งข้อมูลที่น่าเชื่อถืออย่าง Moz ก็เป็นอีกแนวทางในการทำความเข้าใจเรื่องนี้ให้ลึกซึ้งขึ้น

Prompt สำหรับภาพประกอบ: อินโฟกราฟิกที่แสดงสูตรการคำนวณ ROI โดยมีไอคอนประกอบฝั่ง "ต้นทุน" (เช่น รูปค้อน, รูป server) และฝั่ง "รายได้" (เช่น รูปตะกร้าสินค้า, รูปคนจับมือกัน)

ตัวอย่างจากของจริงที่เคยสำเร็จ

เพื่อให้เห็นภาพชัดขึ้น ลองดูตัวอย่างสมมุตินี้นะครับ: "คลินิกเสริมความงามแห่งหนึ่ง" ตัดสินใจลงทุน ทำเว็บไซต์ใหม่ พร้อมทำ SEO และยิงโฆษณา

ต้นทุนทั้งหมด (Total Cost):

  • ค่าทำเว็บไซต์: 250,000 บาท
  • ค่าดูแลและโฮสติ้งรายปี: 20,000 บาท
  • งบโฆษณา Google Ads ต่อปี: 120,000 บาท
  • ค่าจ้างทำคอนเทนต์และ SEO ต่อปี: 110,000 บาท
  • รวมต้นทุนในปีแรก: 500,000 บาท

รายได้ที่เกิดขึ้น (Total Gain):

  • เว็บไซต์ใหม่สร้าง Leads (คนไข้ใหม่ที่ทักเข้ามาจองคิว) ได้เฉลี่ย 25 คน/เดือน หรือ 300 คน/ปี
  • อัตราการปิดการขาย (คนที่ทักเข้ามาแล้วมาใช้บริการจริง): 20%
  • ดังนั้น คลินิกได้คนไข้ใหม่จากเว็บไซต์ = 300 x 20% = 60 คน/ปี
  • มูลค่าเฉลี่ยต่อคนไข้หนึ่งคน (Average Patient Value): 20,000 บาท
  • รวมรายได้ที่เกิดจากเว็บไซต์ในปีแรก = 60 คน x 20,000 บาท = 1,200,000 บาท

คำนวณ ROI:

$$ ROI = \frac{(1,200,000 - 500,000)}{500,000} \times 100 = \frac{700,000}{500,000} \times 100 = 140\% $$

ผลลัพธ์คือ ROI 140%! หมายความว่าทุกๆ 1 บาทที่ลงทุนไปกับเว็บไซต์ สามารถสร้างผลตอบแทนกลับมาได้ถึง 1.40 บาท นี่คือตัวเลขที่ชัดเจนที่สามารถนำไปเสนอผู้บริหารเพื่อของบประมาณต่อได้สบายๆ เลยครับ ซึ่งเคสลักษณะนี้เกิดขึ้นได้จริง ดังเช่น กรณีศึกษาของคลินิกที่สามารถเพิ่มยอดจองคิวได้ถึง 300% หลังจากการทำเว็บไซต์ใหม่

Prompt สำหรับภาพประกอบ: ภาพ Before & After ของคลินิก ด้านซ้ายเป็นภาพเว็บเก่าที่ดูเงียบเหงา ด้านขวาเป็นเว็บใหม่ที่ดูทันสมัยและมีกราฟแสดงผลประกอบการและ ROI ที่พุ่งสูงขึ้นอย่างชัดเจน

ถ้าอยากทำตามต้องทำยังไง (ใช้ได้ทันที)

ถึงตาคุณแล้วครับ! ลองทำตาม Checklist 4 ขั้นตอนนี้เพื่อคำนวณ ROI ของเว็บไซต์คุณเองได้เลย

ขั้นตอนที่ 1: รวบรวม "ต้นทุน" ทั้งหมด
เปิดไฟล์ Excel ขึ้นมา แล้วลิสต์ค่าใช้จ่ายทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับเว็บไซต์ของคุณในรอบ 1 ปีที่ผ่านมาให้ครบถ้วนที่สุด อย่าให้ตกหล่นแม้แต่รายการเดียว

ขั้นตอนที่ 2: ติดตามและวัดผล "รายได้" จากเว็บไซต์
ติดตั้งเครื่องมือวัดผลอย่าง Google Analytics 4 เพื่อดูว่ามีคนเข้าเว็บจากช่องทางไหนบ้าง และตั้งค่า Conversion Tracking เพื่อติดตามทุกการกระทำที่สำคัญ เช่น การกดปุ่มโทร, การส่งฟอร์ม, การแอดไลน์ หรือการสั่งซื้อสินค้า

ขั้นตอนที่ 3: กำหนด "มูลค่า" ให้กับทุก Conversion
หากเว็บคุณไม่ใช่ E-commerce ให้ลองคำนวณหา "มูลค่าของ 1 Lead" โดยดูจากสถิติที่ผ่านมา เช่น มีคนกรอกฟอร์ม 10 คน จะปิดการขายได้ 1 คน ซึ่งลูกค้า 1 คนสร้างรายได้ให้บริษัท 50,000 บาท ดังนั้นมูลค่าของ 1 Lead ก็คือ 50,000 / 10 = 5,000 บาท

ขั้นตอนที่ 4: นำตัวเลขทั้งหมดเข้า "สูตรคำนวณ ROI"
เมื่อได้ตัวเลขต้นทุนและรายได้ทั้งหมดแล้ว ก็นำไปใส่ในสูตร ROI ที่ให้ไว้ข้างต้นได้เลยครับ! การวางแผนอย่างเป็นระบบตาม Roadmap การทำเว็บไซต์ใหม่ จะช่วยให้ขั้นตอนนี้ง่ายและแม่นยำขึ้น

Prompt สำหรับภาพประกอบ: ภาพ Checklist สวยงาม 4 ขั้นตอน (รวบรวมต้นทุน, ติดตามรายได้, กำหนดมูลค่า, เข้าสูตร) พร้อมไอคอนประกอบที่เข้าใจง่าย

คำถามที่คนมักสงสัย และคำตอบที่เคลียร์

Q1: เว็บไซต์บริษัท (Corporate Website) ที่ไม่ได้ขายของโดยตรง จะคำนวณ ROI ได้อย่างไร?
A: ได้แน่นอนครับ! แม้ เว็บไซต์องค์กรจะสำคัญและไม่ได้เน้นขายตรง แต่เราสามารถวัดผลจาก "มูลค่าของ Leads" ที่ได้ (เช่น คนกรอกฟอร์มขอใบเสนอราคา) หรือ "การลดต้นทุน" (เช่น การใช้หน้า FAQ ลดคำถามที่ต้องตอบผ่าน Call Center) หรือแม้กระทั่ง "มูลค่าของ Brand" ที่เพิ่มขึ้นจากการมีภาพลักษณ์ที่น่าเชื่อถือ ซึ่งสามารถประเมินเป็นตัวเงินได้เช่นกัน

Q2: ควรจะเริ่มวัด ROI หลังจากทำเว็บเสร็จนานแค่ไหน?
A: โดยทั่วไปควรรอให้มีข้อมูลสะสมอย่างน้อย 6-12 เดือน เพื่อให้เห็นผลลัพธ์ที่ชัดเจนและขจัดปัจจัยผันผวนในระยะสั้นออกไป โดยเฉพาะหากคุณมีการทำ SEO ซึ่งต้องใช้เวลาในการไต่อันดับครับ

Q3: มีเครื่องมืออะไรฟรีบ้างที่ช่วยในการติดตามข้อมูล?
A: เครื่องมือที่ทรงพลังและฟรี คือ Google Analytics 4 (GA4) สำหรับดูทราฟฟิกและพฤติกรรมผู้ใช้, Google Tag Manager (GTM) สำหรับติดตั้งโค้ดติดตาม Conversion ต่างๆ, และ Google Search Console สำหรับดูประสิทธิภาพของเว็บในหน้าผลการค้นหาของ Google ครับ

Prompt สำหรับภาพประกอบ: ภาพไอคอนของ Google Analytics, Google Tag Manager, และ Google Search Console วางเรียงกัน พร้อมกับคำว่า "Free & Powerful Tools"

สรุปให้เข้าใจง่าย + อยากให้ลองลงมือทำ

การทำเว็บไซต์โดยไม่รู้วิธีวัดผล ก็เหมือนการขับรถโดยไม่มีหน้าปัดบอกความเร็วหรือน้ำมัน คุณไม่มีทางรู้เลยว่ากำลังขับไปในทิศทางที่ถูกต้องและจะไปถึงเป้าหมายได้หรือไม่ การคำนวณ ROI จะเปลี่ยนเว็บไซต์ของคุณจาก "ของสวยงาม" ที่ประเมินค่าไม่ได้ ให้กลายเป็น "สินทรัพย์ทางธุรกิจ" ที่ทรงพลังและพิสูจน์ความคุ้มค่าของตัวเองได้ด้วย "ตัวเลข" ที่ชัดเจน มันจะทำให้คุณตัดสินใจได้เฉียบคมขึ้น, ขออนุมัติงบประมาณได้ง่ายขึ้น, และสร้างการเติบโตให้ธุรกิจได้อย่างยั่งยืน

อย่าปล่อยให้การลงทุนของคุณสูญเปล่าอีกต่อไปครับ ได้เวลาแล้วที่จะหยิบเครื่องคิดเลขขึ้นมา แล้วเริ่มคำนวณความคุ้มค่าของเว็บไซต์คุณตั้งแต่วันนี้!

หากคุณอยากเปลี่ยนเว็บไซต์องค์กรให้เป็นเครื่องจักรทำเงินที่วัดผลได้จริง แต่ไม่รู้จะเริ่มต้นอย่างไร ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านการทำเว็บไซต์องค์กรของเราได้เลย! เราพร้อมช่วยคุณวางแผนและสร้างเว็บไซต์ที่สร้างผลตอบแทนสูงสุดให้ธุรกิจของคุณ

แชร์

Recent Blog

เว็บไซต์บริษัทในตลาดหลักทรัพย์ (Listed Company) แตกต่างจากเว็บทั่วไปอย่างไร?

สรุปข้อกำหนดและความคาดหวังที่มีต่อเว็บไซต์บริษัทจดทะเบียน ทั้งจากนักลงทุน, SET, และ SEC ที่เว็บทั่วไปไม่มี อัปเดตล่าสุด 2025

Shopify SEO vs Webflow SEO: แพลตฟอร์มไหนทำอันดับ Google ได้ดีกว่ากัน?

เปรียบเทียบเครื่องมือและความสามารถด้าน SEO ของ Shopify และ Webflow แบบหมัดต่อหมัด เพื่อช่วยให้คุณเลือกระบบที่เหมาะกับร้านค้าคุณ

User Journey Mapping คืออะไร? และจะช่วยให้คุณออกแบบเว็บไซต์ที่ตอบโจทย์ลูกค้าได้อย่างไร

คู่มือสำหรับผู้บริหารในการทำความเข้าใจ User Journey Mapping เพื่อวิเคราะห์พฤติกรรมลูกค้าและหาโอกาสในการปรับปรุงเว็บไซต์