🔥 แค่ 5 นาที เปลี่ยนมุมมองได้เลย

Replatforming Guide: ย้ายจาก WooCommerce ไป Shopify Plus ต้องทำอะไรบ้าง

ยาวไป อยากเลือกอ่าน?

"ร้านค้าออนไลน์คุณโตช้ากว่าที่ควรจะเป็นหรือเปล่า?" สัญญาณเตือนจาก WooCommerce ที่เจ้าของธุรกิจต้องรีบดู!

คุณเคยรู้สึกแบบนี้ไหมครับ... ธุรกิจ E-commerce ของคุณกำลังไปได้สวย ออเดอร์เริ่มเข้ามาไม่ขาดสาย แต่เบื้องหลังบ้านอย่าง WooCommerce กลับเริ่มส่งสัญญาณแปลกๆ ทั้งเว็บอืด โหลดช้าในช่วงแคมเปญใหญ่ๆ ต้องคอยอัปเดตปลั๊กอินสารพัดจนวุ่นวาย แถมยังต้องกังวลเรื่องความปลอดภัยที่อาจมีช่องโหว่ได้ตลอดเวลา ปัญหาเหล่านี้ไม่ใช่เรื่องเล็กน้อยเลยนะครับ มันคือ "เพดานที่มองไม่เห็น" ที่กำลังขัดขวางการเติบโตของธุรกิจคุณอยู่ ถ้าคุณกำลังเจอกับสถานการณ์เหล่านี้อยู่ แสดงว่าคุณไม่ได้คิดไปเอง และมันอาจถึงเวลาแล้วที่คุณต้องมองหาบ้านหลังใหม่ที่แข็งแรงและพร้อมเติบโตไปกับคุณครับ

Prompt สำหรับภาพประกอบ: ภาพกราฟิกเปรียบเทียบความรู้สึกของเจ้าของธุรกิจสองคน คนหนึ่งกำลังปวดหัวกับไอคอนปลั๊กอินและสัญลักษณ์โหลดช้าๆ ของ WooCommerce ในขณะที่อีกคนยิ้มอย่างสบายใจกับโลโก้ Shopify Plus ที่ดูมั่นคงและทันสมัย

ทำไมเว็บ WooCommerce ที่เคยดี ถึงกลายเป็น "ภาระ" เมื่อธุรกิจโตขึ้น

ตอนเริ่มต้นธุรกิจ WooCommerce อาจเป็นเหมือนฮีโร่ที่ช่วยให้คุณมีร้านค้าออนไลน์ของตัวเองได้ด้วยต้นทุนที่ไม่สูงมากนัก แต่เมื่อธุรกิจของคุณขยายตัว มีลูกค้ามากขึ้น มีสินค้าหลากหลายขึ้น "ความยืดหยุ่น" ที่เคยเป็นจุดแข็งก็อาจกลายเป็น "จุดอ่อน" ได้อย่างไม่น่าเชื่อ สาเหตุหลักๆ มาจากโครงสร้างของ WooCommerce เองที่เป็น Open-Source ซึ่งหมายความว่า:

  • ภาระการดูแลอยู่ที่คุณ: ตั้งแต่การเลือกโฮสติ้งที่ต้องรองรับ Traffic ที่เพิ่มขึ้น, การจัดการความปลอดภัย, ไปจนถึงการอัปเดตระบบและปลั๊กอินต่างๆ ทั้งหมดเป็นความรับผิดชอบของคุณ
  • ปลั๊กอินจากร้อยพ่อพันแม่: การพึ่งพาปลั๊กอินจำนวนมากจากนักพัฒนาหลายเจ้า อาจทำให้เกิดปัญหาความเข้ากันไม่ได้ (Conflict) และเป็นช่องโหว่ด้านความปลอดภัยได้ง่ายๆ
  • ค่าใช้จ่ายแฝงที่มองไม่เห็น: แม้ตัวแพลตฟอร์มจะฟรี แต่ค่าใช้จ่ายสำหรับโฮสติ้งคุณภาพสูง, ค่าปลั๊กอินพรีเมียม, และค่าจ้างนักพัฒนาเพื่อดูแลรักษาเว็บ อาจรวมกันแล้วสูงกว่าที่คุณคิด การทำความเข้าใจ TCO หรือต้นทุนรวมในการเป็นเจ้าของระหว่าง Shopify กับ WooCommerce จะช่วยให้คุณเห็นภาพชัดขึ้นมากครับ
  • ข้อจำกัดด้านการสเกล: เมื่อมีผู้ใช้งานพร้อมกันจำนวนมาก เช่น ช่วงโปร 11.11 เว็บอาจล่มหรือช้าลงจนทำให้คุณเสียโอกาสในการขายไปอย่างน่าเสียดาย

Prompt สำหรับภาพประกอบ: ภาพอินโฟกราฟิกแสดงให้เห็น "ภูเขาน้ำแข็ง" ของการใช้ WooCommerce โดยส่วนที่ลอยเหนือน้ำเขียนว่า "แพลตฟอร์มฟรี" แต่ส่วนที่จมอยู่ใต้น้ำมีข้อความว่า "ค่าโฮสติ้ง", "ค่าปลั๊กอิน", "ค่าดูแลระบบ", "ความเสี่ยงด้านความปลอดภัย"

ปล่อยเว็บ WooCommerce ที่ "ป่วย" ไว้...อาจทำลายธุรกิจคุณมากกว่าที่คิด

การทนใช้แพลตฟอร์มที่ไม่ตอบโจทย์การเติบโตต่อไปเปรียบเสมือนการขับรถเก่าที่ต้องซ่อมตลอดทาง ไม่เพียงแค่เสียเวลาและค่าใช้จ่าย แต่ยังอาจนำไปสู่ผลกระทบที่ร้ายแรงกว่านั้นอีกครับ หากคุณยังลังเลที่จะ ย้ายจาก woocommerce ไป shopify plus ลองพิจารณาผลกระทบเหล่านี้ดูครับ:

  • สูญเสียยอดขายและลูกค้า: ผลสำรวจมากมายชี้ว่า แค่เว็บโหลดช้าลง 1 วินาที ก็อาจทำให้ Conversion Rate ลดลงได้ถึง 7% แล้วครับ ถ้าเว็บของคุณล่มในช่วง Flash Sale ความเสียหายจะมหาศาลขนาดไหน?
  • ความน่าเชื่อถือของแบรนด์ลดลง: เว็บที่ดูไม่ปลอดภัยหรือมีปัญหาบ่อยครั้ง จะทำลายความเชื่อมั่นของลูกค้าอย่างรุนแรง พวกเขาอาจไม่กล้าทำธุรกรรมและเลือกที่จะไปซื้อกับคู่แข่งแทน
  • ต้นทุนการดูแลรักษาสูงขึ้นเรื่อยๆ: ค่าใช้จ่ายในการจ้างทีมงานมาคอยแก้ปัญหา, อัปเดต, และดูแลความปลอดภัยจะเพิ่มขึ้นตามขนาดของธุรกิจ จนสุดท้ายอาจบานปลายจนควบคุมไม่ได้
  • เสียโอกาสในการแข่งขัน: ในขณะที่คู่แข่งของคุณใช้แพลตฟอร์มที่ทันสมัยและมีเครื่องมือการตลาดอัตโนมัติครบครัน แต่คุณกลับต้องมาเสียเวลากับปัญหาทางเทคนิค ทำให้คุณเดินช้ากว่าในสนามแข่ง E-commerce ที่ไม่มีใครรอใคร

การเตรียม Checklist สำหรับการย้ายเว็บเพื่อรักษาอันดับ SEO จึงเป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่งเพื่อป้องกันไม่ให้ผลกระทบเหล่านี้ลุกลามไปถึงรากฐานธุรกิจของคุณ

Prompt สำหรับภาพประกอบ: ภาพลูกค้ากำลังแสดงสีหน้าหงุดหงิดขณะจ้องหน้าจอโน้ตบุ๊กที่ขึ้นสัญลักษณ์ Error 404 หรือหน้าเว็บที่โหลดไม่เสร็จ พร้อมมีไอคอนตะกร้าสินค้าที่ว่างเปล่าลอยอยู่ข้างๆ

ทางออกสำหรับธุรกิจที่พร้อมโต: "Replatforming" สู่ Shopify Plus บ้านใหม่ที่แข็งแรงกว่าเดิม

เมื่อบ้านหลังเก่าเริ่มคับแคบและไม่มั่นคง ทางออกที่ดีที่สุดคือการ "ย้ายบ้าน" ครับ ในโลก E-commerce เราเรียกกระบวนการนี้ว่า "Replatforming" และสำหรับธุรกิจที่ใช้ WooCommerce และต้องการสเกลอัปอย่างจริงจัง การ ย้ายจาก woocommerce ไป shopify plus คือคำตอบที่ใช่ที่สุดครับ เพราะ Shopify Plus ถูกออกแบบมาเพื่อธุรกิจระดับ Enterprise โดยเฉพาะ

แล้วควรเริ่มจากตรงไหน? การย้ายแพลตฟอร์มไม่ใช่แค่การกดปุ่มแล้วเสร็จ แต่ต้องมีการวางแผนอย่างเป็นระบบ โดยเริ่มต้นจากขั้นตอนเหล่านี้:

  • 1. ประเมินและวางแผน (Audit & Strategy): สำรวจเว็บปัจจุบันของคุณว่ามีข้อมูลอะไรบ้างที่ต้องย้าย (สินค้า, ลูกค้า, ออเดอร์, คอนเทนต์), มีฟีเจอร์อะไรที่ใช้งานอยู่ และตั้งเป้าหมายที่ชัดเจนสำหรับการย้ายครั้งนี้
  • 2. เตรียมข้อมูลสำหรับการย้าย (Data Preparation): ทำความสะอาดและจัดระเบียบข้อมูลใน WooCommerce ของคุณให้พร้อมสำหรับการส่งต่อไปยังบ้านใหม่
  • 3. ตั้งค่าร้านค้าบน Shopify Plus (Shopify Plus Setup): สร้างร้านค้า Shopify Plus ของคุณและทำการตั้งค่าพื้นฐานที่จำเป็น
  • 4. ดำเนินการย้ายข้อมูล (Data Migration): ถ่ายโอนข้อมูลสำคัญทั้งหมดจาก WooCommerce มายัง Shopify Plus ซึ่งขั้นตอนนี้สามารถใช้แอปฯ หรือ ผู้เชี่ยวชาญด้านการย้ายแพลตฟอร์ม เข้ามาช่วยได้
  • 5. ออกแบบและปรับแต่งหน้าร้าน (Theme & Customization): พัฒนาหรือปรับแต่งดีไซน์ของเว็บให้สวยงามและตอบโจทย์แบรนด์ของคุณบน Shopify Plus
  • 6. ทดสอบและตรวจสอบ (Testing & QA): ตรวจสอบการทำงานทุกส่วนอย่างละเอียด ตั้งแต่การแสดงผล, การสั่งซื้อ, ไปจนถึงการชำระเงิน เพื่อให้มั่นใจว่าทุกอย่างทำงานได้อย่างสมบูรณ์แบบ

การทำความเข้าใจภาพรวมของกระบวนการทั้งหมดจะช่วยให้การย้ายเว็บเป็นไปอย่างราบรื่น ซึ่งคุณสามารถศึกษาเพิ่มเติมได้จาก คู่มือ E-commerce Replatforming ฉบับสมบูรณ์

Prompt สำหรับภาพประกอบ: ภาพอินโฟกราฟิกแสดงขั้นตอนการ Replatforming จาก WooCommerce ไป Shopify Plus เป็นเหมือนเส้นทางจากจุดเริ่มต้น (ไอคอน WooCommerce) ไปยังเส้นชัย (ไอคอน Shopify Plus) โดยมีจุด Checkpoint เป็นขั้นตอนต่างๆ ที่กล่าวมาข้างต้น

[Case Study] จากเว็บเกือบล่ม สู่ยอดขายพุ่งทะยาน: เรื่องจริงของแบรนด์ที่ย้ายสู่ Shopify Plus

เพื่อให้เห็นภาพชัดขึ้น ผมขอยกตัวอย่างเรื่องราวของ "Brand A" (นามสมมติ) แบรนด์แฟชั่นที่เคยเกือบเสียโอกาสครั้งใหญ่ไปเพราะข้อจำกัดของ WooCommerce ครับ

ปัญหาที่เจอ: Brand A เตรียมจัดแคมเปญลดราคากลางปีครั้งใหญ่ แต่เมื่อถึงวันจริง เว็บไซต์ WooCommerce ของพวกเขากลับล่ม! เพราะไม่สามารถรองรับจำนวนผู้เข้าชมที่พุ่งสูงขึ้นพร้อมกันได้ ผลคือยอดขายต่ำกว่าเป้าไปมาก ลูกค้าพากันร้องเรียน และภาพลักษณ์ของแบรนด์ก็เสียหายอย่างหนัก

ทางออกและการลงมือทำ: หลังจบแคมเปญนั้น ทีมผู้บริหารตัดสินใจว่าต้องมีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ พวกเขาตัดสินใจ ย้ายจาก woocommerce ไป shopify plus โดยร่วมมือกับทีมผู้เชี่ยวชาญ พวกเขาวางแผนย้ายข้อมูลทั้งหมด, ออกแบบหน้าร้านใหม่ให้ทันสมัยและใช้งานง่ายบนมือถือ และที่สำคัญคือการวางแผน Migration Strategy เพื่อรักษา SEO เดิมไว้ให้ได้มากที่สุด

ผลลัพธ์ที่น่าทึ่ง: 6 เดือนต่อมา Brand A จัดแคมเปญใหญ่อีกครั้งบนบ้านหลังใหม่คือ Shopify Plus ผลลัพธ์คือเว็บไซต์ทำงานได้อย่างเสถียร ไม่มีปัญหาระบบล่มแม้แต่วินาทีเดียว, ความเร็วในการโหลดหน้าเว็บดีขึ้นกว่า 50%, และ Conversion Rate เพิ่มขึ้นถึง 30%! ทีมงานไม่ต้องคอยกังวลกับปัญหาทางเทคนิคอีกต่อไป และสามารถโฟกัสกับการตลาดและพัฒนาสินค้าได้อย่างเต็มที่ ซึ่งทั้งหมดนี้แสดงให้เห็นว่า Shopify Plus คืออะไร และมันสามารถปลดล็อกศักยภาพการเติบโตให้ธุรกิจได้อย่างไร

Prompt สำหรับภาพประกอบ: ภาพกราฟ Before & After ที่น่าสนใจ ด้าน "Before" เป็นกราฟยอดขายที่ดิ่งลงพร้อมไอคอนเว็บล่ม ด้าน "After" เป็นกราฟยอดขายที่พุ่งสูงขึ้นอย่างชัดเจน พร้อมรอยยิ้มของทีมงานที่ดูมีความสุข

Checklist ฉบับจับมือทำ: 8 ขั้นตอนย้ายบ้านจาก WooCommerce สู่ Shopify Plus

พร้อมที่จะลงมือแล้วใช่ไหมครับ? นี่คือ Checklist ที่จะช่วยให้การ ย้ายจาก woocommerce ไป shopify plus ของคุณเป็นไปอย่างราบรื่นและมีแบบแผน ลองทำตามทีละขั้นตอนได้เลยครับ:

  1. [ ] กำหนดเป้าหมายและขอบเขต: ตอบให้ชัดว่า "ทำไม" ถึงย้าย และ "อะไร" คือสิ่งที่คาดหวังจากบ้านหลังใหม่ เช่น ต้องการเว็บที่เร็วขึ้น, ลดเวลาดูแลระบบ, หรือต้องการฟีเจอร์การตลาดที่ดีกว่า
  2. [ ] สำรองข้อมูลทั้งหมด: ก่อนจะทำอะไรก็ตาม ให้ Backup ข้อมูลทั้งหมดจากเว็บ WooCommerce ของคุณเก็บไว้ก่อนเสมอ
  3. [ ] ตั้งค่าร้านค้า Shopify Plus ของคุณ: สมัครและตั้งค่าพื้นฐาน เช่น สกุลเงิน, การจัดส่ง, และช่องทางการชำระเงิน
  4. [ ] ย้ายข้อมูลสินค้า ลูกค้า และออเดอร์: ใช้แอปฯ อย่างเป็นทางการของ Shopify หรือเครื่องมือ Third-party ที่เชื่อถือได้เพื่อย้ายข้อมูลหลักเหล่านี้ การวางแผนที่ดีจะช่วยให้การย้ายข้อมูลเป็นไปอย่างราบรื่น เหมือนกับที่อธิบายไว้ใน คู่มือการย้ายข้อมูล WooCommerce สู่ Shopify
  5. [ ] เลือกและปรับแต่ง Theme: เลือก Theme จาก Shopify Theme Store ที่เหมาะกับแบรนด์ของคุณ หรือลงทุนจ้าง ผู้เชี่ยวชาญออกแบบ Theme ให้โดยเฉพาะ เพื่อสร้างประสบการณ์ที่ดีที่สุดให้ลูกค้า
  6. [ ] ติดตั้งแอปฯ ที่จำเป็น: หาแอปฯ ใน Shopify App Store ที่ทำหน้าที่แทนปลั๊กอินเดิมที่คุณเคยใช้ใน WooCommerce เช่น แอปฯ การตลาด, รีวิว, หรือ Loyalty Program
  7. [ ] ตั้งค่า 301 Redirects: ขั้นตอนนี้สำคัญต่อ SEO มาก! ต้องทำการ Redirect URL เก่าทั้งหมดจาก WooCommerce มายัง URL ใหม่ที่ตรงกันบน Shopify Plus เพื่อไม่ให้เสีย Traffic และอันดับ SEO
  8. [ ] ทดสอบทุกอย่าง แล้ว Go Live!: ทดสอบการสั่งซื้อ, การแสดงผลบนมือถือและเดสก์ท็อป, และฟังก์ชันต่างๆ ให้แน่ใจว่าทำงานได้ 100% ก่อนที่จะชี้โดเมนของคุณมาที่ Shopify และเปิดตัวอย่างเป็นทางการ

Prompt สำหรับภาพประกอบ: ภาพ Checklist ขนาดใหญ่ที่ดูง่าย สบายตา โดยมีไอคอนประกอบในแต่ละข้อ เช่น ไอคอนรูปเมฆสำหรับ "สำรองข้อมูล", ไอคอนรูปรถบรรทุกสำหรับ "ย้ายข้อมูล", และไอคอนรูปจรวดสำหรับ "Go Live!"

เคลียร์ทุกข้อสงสัย: คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับการย้ายจาก WooCommerce ไป Shopify Plus

การตัดสินใจย้ายแพลตฟอร์มเป็นเรื่องใหญ่ และแน่นอนว่าคุณต้องมีคำถามคาใจมากมาย ผมได้รวบรวมคำถามที่พบบ่อยที่สุด พร้อมคำตอบที่ชัดเจนมาให้ที่นี่แล้วครับ

Q1: ย้ายเว็บแล้วอันดับ SEO จะตกไหม?

A: เป็นความกังวลอันดับหนึ่งเลยครับ แต่คำตอบคือ "จะไม่ตก ถ้าทำอย่างถูกวิธี" การวางแผนทำ 301 Redirects อย่างครอบคลุม, การรักษาโครงสร้าง URL ให้ใกล้เคียงของเดิมที่สุด, และการส่ง Sitemap ใหม่ให้ Google คือหัวใจสำคัญที่จะช่วยรักษาอันดับ SEO ของคุณไว้ได้ครับ การมี Website Migration SEO Checklist ที่ดีจะช่วยลดความเสี่ยงนี้ได้มาก

Q2: ต้องใช้เวลานานแค่ไหนในการย้าย?

A: ระยะเวลาขึ้นอยู่กับความซับซ้อนของเว็บคุณครับ ถ้าเป็นร้านค้าขนาดเล็กที่มีข้อมูลไม่ซับซ้อน อาจใช้เวลา 4-6 สัปดาห์ แต่สำหรับร้านค้าขนาดใหญ่ที่มีข้อมูลและ Customizations เยอะ อาจใช้เวลา 2-4 เดือน การมีทีม ผู้เชี่ยวชาญ ช่วยวางแผนจะทำให้กระบวนการรวดเร็วและแม่นยำขึ้น

Q3: Shopify Plus แพงกว่า WooCommerce จริงหรือ?

A: หากมองแค่ "ค่าบริการรายเดือน" Shopify Plus อาจดูแพงกว่า แต่ถ้ามองในแง่ "ต้นทุนรวมในการเป็นเจ้าของ" (Total Cost of Ownership - TCO) อาจไม่เป็นเช่นนั้นครับ เพราะคุณจะไม่ต้องจ่ายค่าโฮสติ้ง, ค่าใบรับรองความปลอดภัย (SSL), หรือค่าดูแลระบบจุกจิกอีกต่อไป ซึ่งเมื่อรวมๆ แล้วอาจทำให้ต้นทุนของ Shopify Plus คุ้มค่ากว่าในระยะยาวสำหรับธุรกิจที่เติบโตแล้ว แพลตฟอร์มอย่าง Kinsta ก็ได้ทำการเปรียบเทียบ ประเด็นนี้ไว้อย่างน่าสนใจครับ

Q4: ข้อมูลทั้งหมดของฉันจะย้ายมาได้ครบถ้วนหรือไม่?

A: ข้อมูลหลักๆ เช่น สินค้า, หมวดหมู่, ข้อมูลลูกค้า, และประวัติคำสั่งซื้อ สามารถย้ายมาได้เกือบทั้งหมดครับ แต่อาจมีข้อมูลบางส่วน เช่น รหัสผ่านของลูกค้า ที่ไม่สามารถย้ายมาได้ด้วยเหตุผลด้านความปลอดภัย ซึ่งลูกค้าจะต้องทำการตั้งรหัสผ่านใหม่ในการเข้าสู่ระบบครั้งแรกบนเว็บใหม่ของคุณ

Prompt สำหรับภาพประกอบ: ไอคอนรูปเครื่องหมายคำถาม (?) ขนาดใหญ่ พร้อมมีกล่องข้อความคำถาม-คำตอบ (Q&A) ลอยอยู่รอบๆ ในสไตล์ที่ดูสะอาดและน่าเชื่อถือ

บทสรุป: ถึงเวลาปลดล็อกการเติบโต...แล้วก้าวสู่สเต็ปต่อไปกับ Shopify Plus

การตัดสินใจ ย้ายจาก woocommerce ไป shopify plus ไม่ใช่แค่การเปลี่ยนแพลตฟอร์ม แต่มันคือการตัดสินใจเชิงกลยุทธ์เพื่อ "ปลดล็อก" ศักยภาพการเติบโตของธุรกิจคุณ มันคือการเปลี่ยนจาก "การเสียเวลาดูแลเว็บ" มาเป็น "การใช้เวลาสร้างยอดขาย" และเปลี่ยนจาก "ความกังวลเรื่องความเสถียร" มาเป็น "ความมั่นใจในการสเกลธุรกิจ" ได้อย่างไร้ขีดจำกัด

Shopify Plus มอบทั้งความเสถียร, ความปลอดภัย, ความเร็ว, และเครื่องมือการตลาดอัตโนมัติที่ทรงพลัง ทั้งหมดนี้ถูกรวมไว้ในแพลตฟอร์มเดียวที่พร้อมให้คุณโฟกัสกับสิ่งที่สำคัญที่สุด นั่นคือ "ลูกค้า" และ "การเติบโต" ของคุณเอง

ตอนนี้ Checklist ก็อยู่ในมือคุณแล้ว คำถามก็ถูกเคลียร์จนหมดสิ้น...ถึงเวลาที่คุณจะต้องตัดสินใจแล้วครับว่าพร้อมที่จะก้าวต่อไปแล้วหรือยัง? อย่าปล่อยให้บ้านหลังเก่าที่คับแคบมาเป็นอุปสรรคขวางทางความสำเร็จของคุณอีกเลย ลงมือวางแผนตั้งแต่วันนี้ เพื่ออนาคตที่แข็งแกร่งและยั่งยืนของธุรกิจคุณ

ต้องการผู้เชี่ยวชาญเป็นที่ปรึกษาและช่วยนำทางในโปรเจกต์สำคัญนี้ใช่ไหม? ติดต่อทีมงาน Vision X Brain วันนี้เพื่อรับคำปรึกษาฟรี! เราพร้อมช่วยให้การย้ายบ้านสู่ Shopify Plus ของคุณเป็นเรื่องง่ายและประสบความสำเร็จเกินคาด

Prompt สำหรับภาพประกอบ: ภาพที่ทรงพลัง แสดงเจ้าของธุรกิจกำลังยืนอยู่บนยอดเขา มองไปยังเส้นขอบฟ้าที่สดใส โดยมีเส้นทางที่เดินขึ้นมาเป็นโลโก้ WooCommerce ที่ค่อยๆ เล็กลง และยอดเขาที่ยืนอยู่เป็นโลโก้ Shopify Plus ที่ดูมั่นคง

แชร์

Recent Blog

Case Study: เราปั้นเว็บไซต์ SaaS Startup ให้มี Sign Up เพิ่มขึ้น 500% ได้อย่างไร

เจาะลึกเบื้องหลังเคสรีดีไซน์เว็บไซต์ให้ SaaS Startup โดยใช้หลัก CRO และ UX เพื่อเพิ่ม Conversion Rate และจำนวนผู้ลงทะเบียนใช้งาน

จ้างทำเว็บไซต์ราคาเท่าไหร่? เปิดงบประมาณที่สมเหตุสมผลสำหรับเว็บแต่ละประเภท

แจกแจงรายละเอียดค่าใช้จ่ายในการทำเว็บไซต์แต่ละประเภท ตั้งแต่เว็บ SME, Corporate, E-Commerce ไปจนถึงเว็บ Custom พร้อมปัจจัยที่ส่งผลต่อราคา

Information Architecture (IA) คืออะไร? และทำไมมันคือกระดูกสันหลังของเว็บไซต์ที่ใช้งานง่าย

อธิบายหลักการของ Information Architecture (IA) หรือสถาปัตยกรรมข้อมูล ว่าช่วยจัดระเบียบเนื้อหาและเมนูบนเว็บให้ผู้ใช้หาข้อมูลเจอง่ายได้อย่างไร