🔥 แค่ 5 นาที เปลี่ยนมุมมองได้เลย

"Fogg Behavior Model" กับการออกแบบ Landing Page: สร้างแรงจูงใจอย่างไรให้คนกด CTA

ยาวไป อยากเลือกอ่าน?

ปัญหาที่เจอจริงในชีวิต

ทีมมาร์เก็ตติ้ง เจ้าของธุรกิจ หรือแม้แต่ฟรีแลนซ์ทุกคนเคยเจอสถานการณ์นี้ไหมครับ… เราทุ่มเททั้งงบประมาณและเวลาสร้าง Landing Page สวยๆ ขึ้นมาตัวหนึ่ง ยิงแอดโฆษณาไปอย่างดี มีคนคลิกเข้ามาดูเยอะแยะ แต่สุดท้าย… ยอด Conversion กลับนิ่งสนิท! ผู้ใช้งานเข้ามาแล้วก็ออกไป เหมือนแค่แวะมาทักทายแล้วก็เดินจากไปอย่างง่ายดาย ปุ่ม Call-to-Action (CTA) ที่เราตั้งใจออกแบบไว้ กลายเป็นแค่ “ปุ่มประดับ” ที่ไม่มีใครสนใจจะกด ความรู้สึกโหวงๆ พร้อมคำถามตัวโตๆ ว่า “เราทำอะไรผิดไป?” มันช่างน่าปวดหัวจริงๆ ครับ

Prompt สำหรับภาพประกอบ: ภาพนักการตลาดหรือเจ้าของธุรกิจกำลังนั่งกุมขมับอยู่หน้าจอแล็ปท็อปที่เปิดหน้า Landing Page ค้างไว้ บนหน้าจอมีกราฟ Bounce Rate พุ่งสูง และ Conversion Rate ที่ต่ำเตี้ยเรี่ยดิน สื่อถึงความผิดหวังและสับสน

ทำไมถึงเกิดปัญหานั้นขึ้น

สาเหตุที่คนไม่กด CTA ไม่ได้แปลว่า Landing Page ของเรา “ไม่สวย” เสมอไปครับ แต่บ่อยครั้งมันเป็นเพราะเราพลาด “หัวใจสำคัญ” ของการออกแบบที่อิงตามหลักจิตวิทยาพฤติกรรมมนุษย์ไปต่างหาก BJ Fogg ศาสตราจารย์จากมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ดได้นำเสนอโมเดลที่เรียบง่ายแต่ทรงพลังอย่างเหลือเชื่อ นั่นคือ Fogg Behavior Model หรือสูตร B = MAP ครับ

สูตรนี้บอกว่า พฤติกรรม (Behavior) จะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อมี 3 สิ่งนี้พร้อมกัน:

  • M (Motivation): ผู้ใช้ต้องมี “แรงจูงใจ” มากพอที่จะอยากทำสิ่งนั้น
  • A (Ability): การกระทำนั้นต้อง “ง่าย” พอที่ผู้ใช้จะทำได้โดยไม่รู้สึกติดขัด
  • P (Prompt): ต้องมี “สิ่งกระตุ้น” ที่เหมาะสมมาชวนให้ลงมือทำในจังหวะที่พอดี

ปัญหาของ Landing Page ที่ไม่เกิด Conversion ส่วนใหญ่ก็เพราะขาดองค์ประกอบข้อใดข้อหนึ่ง (หรือทั้งหมด) ในสมการนี้นี่เองครับ คืออาจจะง่าย (Ability) มีปุ่มชัด (Prompt) แต่คนไม่เห็นประโยชน์ (Motivation) หรืออาจจะอยากได้ของมาก (Motivation) แต่ฟอร์มดันกรอกยากซะเหลือเกิน (Ability) พอสมการไม่ลงตัว พฤติกรรมการ “คลิก” ก็เลยไม่เกิดขึ้นครับ การทำความเข้าใจ จิตวิทยาเบื้องหลังการออกแบบ Landing Page จึงเป็นกุญแจสำคัญในการแก้ปัญหานี้

Prompt สำหรับภาพประกอบ: อินโฟกราฟิกเรียบง่ายแต่ชัดเจน แสดงสมการ B = MAP โดยมีไอคอนประกอบแต่ละส่วน: รูปหัวใจหรือเปลวไฟสำหรับ Motivation (M), รูปสมองหรือเฟืองที่ทำงานง่ายๆ สำหรับ Ability (A), และรูประฆังหรือปุ่มกดสำหรับ Prompt (P) โดยมีเครื่องหมายเท่ากับชี้ไปที่ไอคอนคนกำลังคลิกเมาส์ (Behavior)

ถ้าปล่อยไว้จะส่งผลยังไงบ้าง

การมี Landing Page ที่ “รั่ว” หรือไม่สามารถเปลี่ยนผู้เข้าชมเป็นลูกค้าได้นั้นส่งผลเสียมากกว่าแค่ตัวเลข Conversion ที่ไม่สวยงามนะครับ ถ้าเราปล่อยปัญหานี้ไว้เรื้อรัง มันจะกัดกินธุรกิจของเราไปเรื่อยๆ ครับ

  • สิ้นเปลืองงบการตลาด: ทุกบาททุกสตางค์ที่เราจ่ายค่าโฆษณาไปเพื่อให้คนคลิกเข้ามา เหมือนเรากำลังเทน้ำลงบนพื้นทราย มันซึมหายไปโดยไม่สร้างผลลัพธ์อะไรกลับมาเลย
  • เสียโอกาสทางธุรกิจ: ผู้เข้าชมเหล่านั้นคือ “ว่าที่ลูกค้า” ที่มีความสนใจในสินค้าหรือบริการของเราอยู่แล้ว แต่เรากลับ “ผลักไส” เขาออกไปเพราะประสบการณ์ที่ไม่ดีพอ
  • ทำลายความน่าเชื่อถือของแบรนด์: Landing Page ที่ใช้งานยากและไม่ตอบโจทย์ ทำให้แบรนด์ของเราดูไม่เป็นมืออาชีพ ไม่ใส่ใจลูกค้า และลดทอนความน่าเชื่อถือลงไปอย่างน่าเสียดาย
  • ตามหลังคู่แข่ง: ในขณะที่เรายังงมอยู่กับปัญหาเดิมๆ คู่แข่งที่เข้าใจหลักการนี้อาจจะกำลังกอบโกยลูกค้าและทิ้งห่างเราไปไกลแล้ว การมี Landing Page ที่สร้าง Conversion สูง คือความได้เปรียบที่สำคัญในสนามรบดิจิทัลครับ

Prompt สำหรับภาพประกอบ: ภาพกระเป๋าเงินที่มีปีกบินหนีออกจากหน้าจอคอมพิวเตอร์ที่แสดง Landing Page ที่มี Conversion Rate ต่ำ สื่อให้เห็นถึงการสูญเสียงบประมาณและโอกาสทางธุรกิจไปอย่างเปล่าประโยชน์

มีวิธีไหนแก้ได้บ้าง และควรเริ่มจากตรงไหน

วิธีแก้ปัญหาที่ตรงจุดที่สุดคือการย้อนกลับไปที่ต้นตอ และนำโมเดล B = MAP มาเป็นแกนหลักในการออกแบบ Landing Page ของเราครับ เราต้องปรับปรุงทั้ง 3 ปัจจัยให้ทำงานสอดประสานกันอย่างลงตัว โดยเริ่มจากการตั้งคำถามกับแต่ละส่วน:

1. เพิ่มแรงจูงใจ (Motivation): เราจะทำให้คน “อยาก” ได้ของของเรามากขึ้นได้อย่างไร?

  • สื่อสารผลลัพธ์ (Outcome): แทนที่จะบอกว่าสินค้าเราทำอะไรได้ ให้บอกว่ามันจะ “เปลี่ยนชีวิต” ของลูกค้าให้ดีขึ้นได้อย่างไร เน้นไปที่ความรู้สึกแห่งความหวัง (Hope) และการได้รับการยอมรับทางสังคม (Social Acceptance)
  • ใช้ภาพและคำที่ทรงพลัง: ใช้รีวิวจากลูกค้าจริง (Social Proof), Case Study ที่จับต้องได้, หรือภาพ Before-After ที่ทรงพลัง เพื่อกระตุ้นอารมณ์
  • สร้างความกลัวที่จะพลาด (Fear / Scarcity): ใช้ข้อเสนอแบบจำกัดเวลา (Limited-Time Offer) หรือบอกว่าสินค้ามีจำนวนจำกัด เพื่อกระตุ้นให้ตัดสินใจเร็วขึ้น

2. ทำให้ง่ายเข้าไว้ (Ability): เราจะลดอุปสรรคในการลงมือทำให้ “ง่ายที่สุด” ได้อย่างไร?

  • ลดขั้นตอนที่ไม่จำเป็น: ฟอร์มติดต่อขอแค่ข้อมูลที่จำเป็นจริงๆ พอ ยิ่งช่องกรอกน้อยเท่าไหร่ ยิ่งดีเท่านั้น นี่คือการ ลดภาระทางความคิด (Cognitive Load) โดยตรง
  • ใช้ภาษาที่คนทั่วไปเข้าใจ: หลีกเลี่ยงศัพท์เทคนิคที่ซับซ้อน อธิบายทุกอย่างให้ชัดเจนและตรงไปตรงมาเหมือนกำลังคุยกับเพื่อน
  • ออกแบบให้ Mobile-Friendly: ตรวจสอบให้แน่ใจว่าทุกปุ่มกดง่าย ทุกตัวอักษรอ่านชัดบนมือถือ เพราะคนส่วนใหญ่เข้าเว็บผ่านช่องทางนี้

3. สร้างสิ่งกระตุ้นที่ใช่ (Prompt): เราจะ “สะกิด” ให้คนลงมือทำในจังหวะที่เหมาะสมได้อย่างไร?

  • ปุ่ม CTA ที่ชัดเจน: ปุ่มต้อง “เด่น” ทั้งสีและขนาด ใช้ข้อความที่บอกชัดเจนว่าคลิกแล้วจะได้อะไร (เช่น “รับส่วนลดทันที” ดีกว่าแค่ “ส่งข้อมูล”) ลองศึกษา ตัวอย่าง Call-to-Action ที่ได้ผล เพื่อหาแรงบันดาลใจ
  • วาง Prompt ให้ถูกที่ถูกเวลา: ควรมี CTA อยู่ในตำแหน่งที่ผู้ใช้เริ่มมีแรงจูงใจสูงและเห็นว่ามันทำง่าย เช่น หลังจากอ่านคุณประโยชน์หลักจบ หรือหลังจากดูรีวิวดีๆ จบ

การปรับปรุงทั้ง 3 ส่วนนี้ไปพร้อมกันคือแนวทางที่ถูกต้องที่สุด โดยอาจเริ่มต้นจากการวิเคราะห์ การใช้ Fogg Behavior Model กับเว็บไซต์โดยรวม ก่อนจะเจาะลึกมาที่ Landing Page ครับ

Prompt สำหรับภาพประกอบ: ภาพไดอะแกรมที่แตกรายละเอียดของ M, A, และ P ออกมาเป็นข้อๆ พร้อมไอคอนประกอบแต่ละข้อ เช่น M (Hope, Fear), A (Simple Form, Clear Language), P (Visible Button, Right Timing) เพื่อให้เข้าใจง่ายและนำไปใช้ต่อได้

ตัวอย่างจากของจริงที่เคยสำเร็จ

ลองนึกภาพบริษัท SaaS ที่ให้บริการโปรแกรมบริหารจัดการสต็อกสินค้าครับ ตอนแรก Landing Page ของพวกเขามีแต่ศัพท์เทคนิคเต็มไปหมด (Ability ต่ำ) บอกแค่ฟีเจอร์แต่ไม่บอกว่าช่วยแก้ปัญหาอะไร (Motivation ต่ำ) และปุ่ม CTA ก็เป็นแค่คำว่า “Submit” สีเทาๆ (Prompt อ่อน)

ภารกิจพลิกโฉมด้วย B = MAP:

  • ปรับแก้ Motivation: เปลี่ยน Headline จาก “ระบบจัดการสต็อกอัจฉริยะ” เป็น “บอกลาปัญหาสต็อกจม! เพิ่มกำไรให้ธุรกิจคุณ 30%” พร้อมใส่ Testimonial จากลูกค้าที่เคยเจอปัญหานี้แล้วแก้ได้สำเร็จ
  • ปรับแก้ Ability: เปลี่ยนฟอร์มขอเดโมที่เคยมี 10 ช่อง ให้เหลือแค่ 3 ช่อง (ชื่อ, อีเมล, เบอร์โทร) พร้อมคำอธิบายง่ายๆ ว่า “กรอกข้อมูลเพื่อรับเดโมฟรี! ใช้เวลาแค่ 30 วินาที”
  • ปรับแก้ Prompt: เปลี่ยนปุ่ม CTA จาก “Submit” เป็น “ขอรับเดโมฟรีทันที!” ใช้สีส้มที่โดดเด่นสะดุดตา และวางไว้ทั้งด้านบนและด้านล่างของหน้า

ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้น: เพียงแค่ปรับ 3 ส่วนนี้ตามหลัก B = MAP ของ BJ Fogg ซึ่งคุณสามารถอ่านเพิ่มเติมได้ที่ BehaviorModel.org อัตราการกดขอเดโม (Conversion Rate) ของ Landing Page นี้พุ่งสูงขึ้นจาก 1.5% เป็น 7% ภายในเวลาแค่เดือนเดียว! นี่คือพลังของการออกแบบที่เข้าใจพฤติกรรมของมนุษย์อย่างแท้จริงครับ และยังมีกรณีศึกษาที่น่าสนใจอีกมากมายที่ Growth.Design Case Studies ให้เราได้เรียนรู้ครับ

Prompt สำหรับภาพประกอบ: ภาพเปรียบเทียบ Before/After ของ Landing Page ที่กล่าวถึง ด้านซ้าย (Before) ดูซับซ้อน น่าเบื่อ ปุ่มไม่เด่น ด้านขวา (After) ดูสะอาดตา Headline ทรงพลัง ฟอร์มสั้น และปุ่ม CTA สีส้มสดใสสะดุดตา

ถ้าอยากทำตามต้องทำยังไง (ใช้ได้ทันที)

ถึงตาคุณแล้วครับ! ลองนำกระดาษปากกามา หรือเปิดโปรแกรม Note ขึ้นมา แล้วมาทำ Workshop ง่ายๆ กับ Landing Page ของคุณกันทีละขั้นตอนตามนี้เลยครับ

ขั้นตอนที่ 1: วิเคราะห์แรงจูงใจ (Motivation Audit)

  • กลุ่มเป้าหมายของคุณคือใคร? เขากำลังมีความหวัง (Hope) หรือความกลัว (Fear) อะไรอยู่?
  • Headline ของคุณ สื่อสาร “ผลลัพธ์สุดท้าย” ที่เขาจะได้รับได้ชัดเจนพอแล้วหรือยัง?
  • คุณมี Social Proof (รีวิว, โลโก้ลูกค้า, Case Study) ที่น่าเชื่อถือพอที่จะทำให้เขารู้สึกว่า “ที่นี่แหละใช่เลย” แล้วหรือยัง?

ขั้นตอนที่ 2: ตรวจสอบความง่าย (Ability Audit)

  • ถ้าให้เด็ก ม.ต้น อ่าน Landing Page ของคุณ เขาจะเข้าใจไหม? ลองตัดศัพท์เทคนิคและประโยคที่ซับซ้อนออกไปให้หมด
  • มีกี่คลิก/กี่ขั้นตอน กว่าที่ผู้ใช้จะทำสิ่งที่คุณต้องการได้สำเร็จ? ลดให้เหลือน้อยที่สุดได้อีกไหม?
  • ฟอร์มของคุณขอข้อมูลกี่ช่อง? แต่ละช่องจำเป็นจริงๆ หรือเปล่า? ตัดช่องที่ไม่จำเป็นทิ้งไปซะ!

ขั้นตอนที่ 3: ประเมินสิ่งกระตุ้น (Prompt Audit)

  • ปุ่ม CTA ของคุณ “เด่น” พอไหม? หรือมันกลมกลืนไปกับพื้นหลังจนหาไม่เจอ?
  • ข้อความบนปุ่ม (CTA Copy) บอกชัดเจนหรือไม่ว่า “คลิกแล้วจะได้อะไร”?
  • ตำแหน่งของปุ่ม CTA อยู่ในจุดที่ผู้ใช้กำลังมีแรงจูงใจสูงสุดแล้วหรือยัง?

แค่ตอบคำถามเหล่านี้และลงมือปรับแก้ทีละจุด คุณจะเห็นความเปลี่ยนแปลงของ Conversion Rate ที่ดีขึ้นได้อย่างแน่นอนครับ

Prompt สำหรับภาพประกอบ: ภาพ Checklist ที่มีหัวข้อ M, A, P พร้อมช่องให้ติ๊กถูก และมีไอคอนดินสออยู่ข้างๆ สื่อถึงการลงมือทำ Workshop เพื่อปรับปรุง Landing Page ของตัวเองได้ทันที

คำถามที่คนมักสงสัย และคำตอบที่เคลียร์

ถาม: โมเดล B=MAP ใช้ได้กับทุกธุรกิจไหมครับ? B2B ก็ใช้ได้เหรอ?
ตอบ: ใช้ได้กับทุกธุรกิจครับ! เพราะไม่ว่าจะเป็น B2C หรือ B2B เราก็กำลังสื่อสารกับ “คน” เหมือนกัน แค่ “แรงจูงใจ (Motivation)” อาจจะแตกต่างกันไป B2C อาจเน้นความสุขส่วนตัว แต่ B2B อาจเน้นเรื่องการประหยัดต้นทุน, การเพิ่มประสิทธิภาพ, หรือการทำให้ตัวเองดูดีในสายตาเจ้านาย แต่หลักการ M, A, P ยังคงเหมือนเดิมทุกประการครับ

ถาม: ระหว่าง Motivation, Ability, Prompt อะไรสำคัญที่สุด? ควรเน้นปรับอะไรก่อน?
ตอบ: ทั้ง 3 อย่างทำงานร่วมกันเหมือนขาตั้งกล้องครับ ขาดขาใดขาหนึ่งไปก็ล้ม แต่ถ้าให้เรียงลำดับความสำคัญในการปรับปรุง ผมแนะนำให้เริ่มที่ “Ability” ก่อนครับ เพราะการทำให้มัน “ง่ายขึ้น” มักจะทำได้เร็วกว่าและเห็นผลชัดเจนกว่าการพยายามสร้างแรงจูงใจใหม่ทั้งหมด เมื่อมันง่ายมากพอแล้ว แค่มีแรงจูงใจเพียงเล็กน้อยและมี Prompt ที่ดี ก็สามารถเกิด Action ได้แล้วครับ

ถาม: เราจะรู้ได้อย่างไรว่าผู้ใช้มี Motivation อะไร?
ตอบ: วิธีที่ดีที่สุดคือการ “ถาม” และ “สังเกต” ครับ ทำแบบสอบถาม, สัมภาษณ์ลูกค้าปัจจุบัน, อ่านรีวิว, หรือดูข้อมูลจากทีมเซลล์และทีมบริการลูกค้า ข้อมูลเหล่านี้คือขุมทรัพย์ที่จะบอกเราได้ว่าจริงๆ แล้วอะไรคือสิ่งที่ลูกค้าต้องการและกังวลใจมากที่สุดครับ

Prompt สำหรับภาพประกอบ: ภาพบุคคล 3 คนกำลังสนทนากันอย่างเป็นกันเอง คนหนึ่งมีเครื่องหมายคำถาม (?) เหนือหัว อีกคนกำลังอธิบายโดยชี้ไปที่กราฟ B=MAP สื่อถึงการถาม-ตอบข้อสงสัยเพื่อให้เกิดความเข้าใจที่ชัดเจน

สรุปให้เข้าใจง่าย + อยากให้ลองลงมือทำ

หัวใจของการสร้าง Landing Page ที่เปลี่ยนผู้ชมให้เป็นลูกค้าได้ ไม่ได้อยู่ที่ความสวยงามเพียงอย่างเดียว แต่อยู่ที่การเข้าใจจิตวิทยาเบื้องหลังการตัดสินใจของมนุษย์ครับ โมเดล B = MAP (Behavior = Motivation + Ability + Prompt) ของ BJ Fogg คือเครื่องมือที่ทรงพลังและเรียบง่ายที่สุดที่จะช่วยให้เรามองทะลุไปถึงปัญหาและแก้ไขได้อย่างตรงจุด

จำสูตรนี้ไว้ให้แม่นครับ: สร้าง “แรงจูงใจ” (M) ที่ใช่, ทำให้มัน “ง่าย” (A) ที่สุดที่จะทำ, และส่ง “สิ่งกระตุ้น” (P) ที่เหมาะสมไปในจังหวะที่พอดี เมื่อ 3 สิ่งนี้มาบรรจบกัน พฤติกรรมการ “คลิก” ที่คุณรอคอยก็จะเกิดขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ ถึงเวลาแล้วครับที่จะหยุดเดา แล้วหันมาออกแบบ Landing Page ของคุณอย่างมีกลยุทธ์ตามหลักการที่พิสูจน์แล้วว่าได้ผลจริง

อย่าปล่อยให้โอกาสทางธุรกิจหลุดลอยไปอีกเลยครับ! ลองนำ Workshop ในบทความนี้ไปปรับใช้กับ Landing Page ของคุณวันนี้ และถ้าคุณอยากได้ผู้เชี่ยวชาญเข้าไปช่วย ออกแบบ Landing Page ที่สร้าง Conversion สูง หรือต้องการ ที่ปรึกษาด้าน Conversion Rate Optimization โดยตรง ทีมงาน Vision X Brain พร้อมให้คำปรึกษาฟรีครับ!

Prompt สำหรับภาพประกอบ: ภาพผู้ใช้งานกำลังยิ้มอย่างมีความสุขขณะคลิกปุ่ม CTA บน Landing Page ที่ออกแบบอย่างสวยงามและใช้งานง่าย ในพื้นหลังมีกราฟ Conversion Rate ที่กำลังพุ่งทะยานขึ้น สื่อถึงความสำเร็จและผลลัพธ์ที่จับต้องได้

แชร์

Recent Blog

Case Study: เราปั้นเว็บไซต์ SaaS Startup ให้มี Sign Up เพิ่มขึ้น 500% ได้อย่างไร

เจาะลึกเบื้องหลังเคสรีดีไซน์เว็บไซต์ให้ SaaS Startup โดยใช้หลัก CRO และ UX เพื่อเพิ่ม Conversion Rate และจำนวนผู้ลงทะเบียนใช้งาน

จ้างทำเว็บไซต์ราคาเท่าไหร่? เปิดงบประมาณที่สมเหตุสมผลสำหรับเว็บแต่ละประเภท

แจกแจงรายละเอียดค่าใช้จ่ายในการทำเว็บไซต์แต่ละประเภท ตั้งแต่เว็บ SME, Corporate, E-Commerce ไปจนถึงเว็บ Custom พร้อมปัจจัยที่ส่งผลต่อราคา

Information Architecture (IA) คืออะไร? และทำไมมันคือกระดูกสันหลังของเว็บไซต์ที่ใช้งานง่าย

อธิบายหลักการของ Information Architecture (IA) หรือสถาปัตยกรรมข้อมูล ว่าช่วยจัดระเบียบเนื้อหาและเมนูบนเว็บให้ผู้ใช้หาข้อมูลเจอง่ายได้อย่างไร