กลยุทธ์การตั้งชื่อ URL Slug ที่ส่งผลดีต่อ SEO และ UX ในระยะยาว

ปัญหาที่เจอจริงในชีวิต
เคยไหมครับ เวลาจะแชร์ลิงก์บทความหรือสินค้าให้เพื่อน แล้ว URL ที่ก๊อปปี้มาหน้าตาเป็นแบบนี้: yourwebsite.com/prd_view.php?id_prd=8814&cat=4&lang=th
หรือ yourwebsite.com/2025/07/post-title-with-many-words
เห็นแล้วรู้สึกยังไงครับ? มันทั้งยาว, อ่านไม่รู้เรื่อง, ดูไม่น่าเชื่อถือ แถมยังชวนให้สงสัยว่า "นี่มันลิงก์อะไร? ใช่ไวรัสหรือสแปมรึเปล่า?" ปัญหานี้ไม่ได้ทำให้แค่ผู้ใช้สับสนนะครับ แต่มันกำลังบั่นทอนคะแนน SEO ของเว็บไซต์คุณแบบเงียบๆ โดยที่คุณอาจไม่รู้ตัวเลยด้วยซ้ำ
Prompt สำหรับภาพประกอบ: ภาพเปรียบเทียบ URL สองแบบ ข้างหนึ่งเป็น URL ที่รกและอ่านไม่รู้เรื่อง (เช่น .../?p=123) พร้อมไอคอนหน้าบึ้ง และอีกข้างเป็น URL ที่สะอาดและเข้าใจง่าย (เช่น .../seo-best-practices) พร้อมไอคอนหน้ายิ้ม
ทำไมถึงเกิดปัญหานั้นขึ้น
ปัญหานี้มักจะเกิดขึ้นโดยที่เราไม่ได้ตั้งใจครับ สาเหตุหลักๆ มาจากการตั้งค่าพื้นฐาน (Default) ของระบบจัดการเนื้อหา (CMS) อย่าง WordPress, Shopify หรือระบบ E-commerce ที่สร้างขึ้นเอง ระบบเหล่านี้ถูกออกแบบมาให้ "สร้างหน้าเว็บ" ได้โดยอัตโนมัติ และมันจะกำหนด URL จากตัวแปรต่างๆ เช่น ID ของสินค้า, หมวดหมู่, หรือวันที่เผยแพร่ เพื่อให้ระบบทำงานได้
พูดง่ายๆ คือ "คอมพิวเตอร์ตั้งชื่อให้คอมพิวเตอร์เข้าใจ" ไม่ได้ตั้งชื่อให้ "คน" หรือ "Google" เข้าใจครับ นอกจากนี้ ทีมพัฒนาหรือคนทำเว็บในยุคแรกๆ อาจจะไม่ได้ให้ความสำคัญกับโครงสร้าง URL มากเท่าฟีเจอร์อื่นๆ เพราะมองว่าเป็นแค่เรื่องทางเทคนิคเล็กๆ น้อยๆ จึงปล่อยให้เป็นไปตามค่าเริ่มต้น ผลลัพธ์ที่ได้ก็คือ URL ที่ไม่เป็นมิตรต่อทั้งคนและ SEO อย่างที่เราเห็นกันนั่นเอง
Prompt สำหรับภาพประกอบ: ภาพ Flowchart ง่ายๆ แสดงให้เห็นว่าระบบ CMS (เช่น WordPress) สร้าง URL แบบ Default จาก Post ID หรือวันที่โดยอัตโนมัติ ทำให้ผลลัพธ์ออกมาเป็น URL ที่ไม่สื่อความหมาย
ถ้าปล่อยไว้จะส่งผลยังไงบ้าง
การมี URL Slug ที่ไม่ดี ไม่ใช่แค่เรื่องของความสวยงามครับ แต่มันส่งผลเสียโดยตรงต่อธุรกิจใน 3 มิติหลักๆ:
- ผลเสียด้าน SEO: Google Bot พยายามทำความเข้าใจว่าหน้าเว็บของคุณเกี่ยวกับอะไร URL คือหนึ่งในสัญญาณแรกๆ ที่มันใช้ ถ้า URL ของคุณคือ
/p-12345
Google ก็จะไม่รู้เลยว่าหน้านี้คือ "รองเท้าวิ่ง" หรือ "บทความสอนทำอาหาร" ทำให้การจัดอันดับบน Keyword ที่เราต้องการทำได้ยากขึ้นอย่างมหาศาล - ผลเสียด้าน User Experience (UX): เมื่อผู้ใช้เห็น URL ของคุณในผลการค้นหา, บนโซเชียลมีเดีย, หรือในแชท พวกเขาจะใช้มันในการตัดสินใจว่าจะคลิกดีไหม URL ที่อ่านง่าย (เช่น
/running-shoes-for-men
) ย่อมสร้างความมั่นใจและมีอัตราการคลิก (CTR) สูงกว่า URL ที่ดูน่าสงสัยแน่นอนครับ - ผลเสียด้านการแชร์และสร้างแบรนด์: URL ที่สะอาดและสั้นกระชับ ง่ายต่อการจดจำ, บอกต่อ, และแชร์ต่อ มันยังสะท้อนถึงความเป็นมืออาชีพและความใส่ใจในรายละเอียดของแบรนด์คุณอีกด้วย ลองคิดดูว่าระหว่างลิงก์ที่สวยงามกับลิงก์ที่ดูเหมือนโค้ดโปรแกรม แบบไหนจะทำให้แบรนด์ของคุณดูดีกว่ากัน?
การละเลยเรื่องนี้ก็เหมือนกับการสร้างบ้านที่สวยงาม แต่ไม่มีเลขที่บ้านหรือป้ายชื่อที่ชัดเจน สุดท้ายก็ไม่มีใครหาเจอหรือไม่กล้าเข้ามาอยู่ดีครับ การวาง สถาปัตยกรรมข้อมูล (Information Architecture) ที่ดี คือรากฐานสำคัญที่ส่งผลต่อทั้ง SEO และ UX โดยตรง
Prompt สำหรับภาพประกอบ: ภาพอินโฟกราฟิกแสดงผลเสีย 3 ด้าน (SEO, UX, Branding) จากการใช้ URL ที่ไม่ดี โดยมีไอคอนประกอบ เช่น ไอคอนแว่นขยายทำหน้างงสำหรับ SEO, ไอคอนผู้ใช้ส่ายหัวสำหรับ UX และไอคอนลิงก์ที่ขาดออกจากกันสำหรับการแชร์
มีวิธีไหนแก้ได้บ้าง และควรเริ่มจากตรงไหน
ข่าวดีคือปัญหานี้แก้ไขได้ไม่ยากครับ! หัวใจสำคัญคือการสร้าง URL Slug ที่ "สื่อความหมาย, สั้นกระชับ และเป็นมิตร" ทั้งต่อคนและ Search Engine โดยหลักการที่ดีที่สุดนั้นได้รับการยอมรับจากผู้เชี่ยวชาญทั่วโลก รวมถึง Google Search Central และ Moz ซึ่งสรุปเป็นแนวทางปฏิบัติได้ดังนี้ครับ:
- ใช้ Keyword หลัก: ใส่คีย์เวิร์ดที่สำคัญที่สุดของหน้านั้นๆ ลงไปใน URL Slug เพื่อบอกทั้งคนและ Google ว่าหน้านี้เกี่ยวกับอะไร
- ทำให้อ่านง่าย (Human-Readable): เขียนให้เหมือนชื่อบทความหรือชื่อสินค้าแบบย่อๆ ที่คนทั่วไปอ่านแล้วเข้าใจทันที
- สั้นเข้าไว้ (Keep it Short): ตัดคำที่ไม่จำเป็นหรือคำฟุ่มเฟือย (Stop Words) ออกไป เช่น a, an, the, is, on, in, และ, ที่, ของ
- ใช้ขีดกลาง (-) คั่นคำ: ห้ามใช้เว้นวรรค (Space), ขีดล่าง (_), หรือสัญลักษณ์อื่นๆ ให้ใช้ขีดกลาง (Hyphen) ในการแยกคำเท่านั้น เพราะเป็นมาตรฐานที่ Google เข้าใจดีที่สุด
- ใช้ตัวอักษรพิมพ์เล็กทั้งหมด (Lowercase): เพื่อป้องกันปัญหา Technical SEO ที่อาจเกิดขึ้นจาก Server ที่มองว่าตัวพิมพ์ใหญ่กับพิมพ์เล็กเป็นคนละ URL กัน
- หลีกเลี่ยงการใส่ข้อมูลที่ไม่ถาวร: เช่น วันที่ (ยกเว้นเป็นเว็บข่าว) หรือตัวเลข ID ที่ไม่มีความหมาย เพราะมันทำให้ URL ดูเก่าเร็วและไม่สื่อถึงเนื้อหา
จุดที่ควรเริ่มทำทันทีคือ "ทุกครั้งที่สร้างหน้าใหม่" ให้คุณใส่ใจกับการตั้งค่า URL Slug ตามหลักการนี้เสมอ ส่วนหน้าเก่าๆ ที่สำคัญก็ควรกลับไปแก้ไขและทำ 301 Redirect ครับ นี่คือแนวทางพื้นฐานของการสร้าง URL ที่เป็นมิตรกับ SEO อย่างแท้จริง
Prompt สำหรับภาพประกอบ: ภาพ Checklist ที่สรุปหลักการตั้ง URL Slug ที่ดี 5-6 ข้อ พร้อมไอคอนติ๊กถูกสีเขียว (เช่น ไอคอน Keyword, ไอคอนนาฬิกาที่สื่อถึงความสั้น, ไอคอนขีดกลาง, ไอคอนตัวอักษร "abc")
ตัวอย่างจากของจริงที่เคยสำเร็จ
เพื่อให้เห็นภาพชัดเจน ผมขอยกตัวอย่างเคสสมมติของร้านขายอุปกรณ์กาแฟออนไลน์ชื่อ "เมล็ดหอมกรุ่น" ที่เคยประสบปัญหานี้ครับ
ปัญหาเดิม: แต่ก่อนหน้าสินค้า "เมล็ดกาแฟคั่วกลางจากดอยช้าง" ของทางร้านมี URL ว่า https://melidhomgrun.com/shop/products?pid=5411&type=roasted-bean
ซึ่งยาว, จำยาก และไม่สื่ออะไรเลย ทำให้เวลาติดอันดับบน Google ก็ไม่มีใครอยากคลิก แถมเวลาแชร์ลิงก์ให้ลูกค้าก็ดูไม่โปร
วิธีแก้: ทีมงานได้ทำการปรับปรุง URL Slug ใหม่ทั้งหมด โดยหน้าสินค้าดังกล่าวถูกเปลี่ยนเป็น https://melidhomgrun.com/coffee-beans/doi-chang-medium-roast
และที่สำคัญคือพวกเขาได้ทำ 301 Redirect จาก URL เก่ามายัง URL ใหม่อย่างถูกต้อง
ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้น:
- อันดับดีขึ้น: หน้าสินค้านี้เริ่มติดอันดับดีขึ้นสำหรับคีย์เวิร์ด "กาแฟดอยช้างคั่วกลาง" เพราะ Google เข้าใจเนื้อหาจาก URL ได้ชัดเจนขึ้น
- CTR สูงขึ้น: ในหน้าผลการค้นหา URL ที่อ่านง่ายทำให้คนคลิกเข้ามามากขึ้นกว่า 30%
- ผู้ใช้จำได้: ลูกค้าสามารถพิมพ์ URL เพื่อเข้าถึงสินค้าได้โดยตรง สะท้อนถึงการสร้างแบรนด์ที่แข็งแกร่งขึ้น
นี่คือพลังของการปรับปรุงสิ่งที่ดูเหมือนเล็กน้อย แต่ส่งผลกระทบมหาศาลต่อธุรกิจ การทำให้เว็บไซต์ของคุณ ติดอันดับบน Google ได้นั้น เริ่มต้นจากรายละเอียดพื้นฐานเหล่านี้แหละครับ
Prompt สำหรับภาพประกอบ: ภาพ Before & After ของ URL ร้าน "เมล็ดหอมกรุ่น" พร้อมกราฟแสดงผลลัพธ์ที่จับต้องได้ เช่น อันดับ SEO ที่สูงขึ้น, กราฟแท่งแสดง CTR ที่เพิ่มขึ้น
ถ้าอยากทำตามต้องทำยังไง (ใช้ได้ทันที)
พร้อมที่จะเปลี่ยน URL ของคุณให้ทรงพลังแล้วใช่ไหมครับ? ลองทำตาม Checklist 5 ขั้นตอนง่ายๆ นี้ได้เลย ไม่ว่าคุณจะใช้ CMS อะไรก็ตาม:
- หา Keyword หลักของหน้า: หน้านี้เกี่ยวกับอะไร? คุณอยากให้คนหาเจอด้วยคำว่าอะไร? เช่น "วิธีแก้ปัญหา keyword cannibalization"
- ร่าง Slug ฉบับแรก: นำ Keyword มาเขียนเป็นชื่อที่สื่อความหมายที่สุด เช่น
how-to-fix-keyword-cannibalization-issues
- ตัดให้สั้นและกระชับ: ตัดคำที่ไม่จำเป็น (Stop Words) ออกไป ให้เหลือแต่แก่นของเนื้อหา จะได้เป็น
fix-keyword-cannibalization
- ตรวจสอบครั้งสุดท้าย: ใช้ตัวพิมพ์เล็กทั้งหมดหรือยัง? ใช้ขีดกลาง (-) คั่นคำใช่ไหม? อ่านแล้วเข้าใจง่ายหรือไม่? ถ้าใช่ ก็ลุยเลย!
- ตั้งค่าใน CMS ของคุณ: นำ Slug ที่ได้ไปใส่ในช่อง "Permalink", "URL Slug", หรือ "URL Handle" ในระบบหลังบ้านของคุณ (เช่น WordPress, Webflow, Shopify)
ข้อควรระวังที่สำคัญที่สุด: หากคุณกำลังจะแก้ไข URL ของหน้าที่เผยแพร่ไปแล้ว "ห้ามลืม" ตั้งค่าการเปลี่ยนเส้นทางแบบถาวร (301 Redirect) จาก URL เก่าไปยัง URL ใหม่เด็ดขาด! ไม่เช่นนั้น คุณจะเสียทั้ง Traffic และคะแนน SEO ที่เคยมีมาทันที และอาจทำให้เกิดปัญหา Keyword Cannibalization ที่ซับซ้อนขึ้นได้
Prompt สำหรับภาพประกอบ: ภาพอินโฟกราฟิกแบบ Step-by-Step 5 ขั้นตอนในการสร้าง URL Slug พร้อมตัวอย่างประกอบในแต่ละขั้นตอน และมีกล่องคำเตือนสีแดงเด่นๆ เรื่อง "301 Redirect"
คำถามที่คนมักสงสัย และคำตอบที่เคลียร์
ผมได้รวบรวมคำถามที่เจอบ่อยๆ เกี่ยวกับการตั้งชื่อ URL Slug มาตอบให้หายคาใจกันตรงนี้ครับ
ถาม: ควรใส่ "วันที่" ใน URL ของบทความไหม?
ตอบ: โดยทั่วไป "ไม่ควรครับ" ยกเว้นคุณเป็นเว็บไซต์ข่าวที่ความสดใหม่สำคัญมาก การใส่ปีหรือเดือนเข้าไป (เช่น /2025/07/my-post) จะทำให้บทความดู "เก่า" ทันทีเมื่อเวลาผ่านไป และยากต่อการอัปเดตเนื้อหาในอนาคต การใช้ URL ที่ไม่มีวันที่ (Evergreen URL) จะดีต่อ SEO ในระยะยาวมากกว่า
ถาม: ถ้า Keyword เป็นภาษาไทย ควรใช้ URL ภาษาไทยไหม?
ตอบ: ทำได้ และดีต่อ SEO ในไทยครับ เพราะ Google เข้าใจภาษาไทย แต่มีข้อเสียคือเวลาคัดลอกไปวางที่อื่น URL จะถูกเข้ารหัส (Encode) กลายเป็นตัวอักษรยาวๆ ที่อ่านไม่ออก (เช่น %E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3...) ซึ่งดูไม่สวยงาม ถ้ากลุ่มเป้าหมายของคุณใช้ภาษาอังกฤษด้วย การใช้ Slug ภาษาอังกฤษอาจจะปลอดภัยและแชร์ง่ายกว่าครับ
ถาม: ความยาว URL ที่เหมาะสมคือเท่าไหร่?
ตอบ: ไม่มีตัวเลขตายตัว แต่หลักการคือ "สั้นที่สุดเท่าที่จะสื่อความหมายได้" ผลการศึกษาหลายแห่งชี้ว่า URL ที่สั้นกว่ามักจะมีอันดับที่ดีกว่า พยายามให้ Slug ของคุณมีความยาวประมาณ 3-5 คำ หรือไม่เกิน 50-60 ตัวอักษรก็ถือว่าเยี่ยมแล้วครับ
ถาม: เปลี่ยน URL แล้วลิงก์เก่าเสีย ทำยังไงดี?
ตอบ: ต้องทำ "301 Redirect" ทันทีครับ! เป็นการบอก Google และ Browser ว่าหน้านี้ได้ย้ายที่อยู่ไปที่ URL ใหม่แล้วอย่างถาวร ทุก CMS ที่ดีจะมีเครื่องมือหรือ Plugin ให้ทำสิ่งนี้ได้ไม่ยากครับ การไม่ทำ 301 Redirect ถือเป็นความผิดพลาดร้ายแรงทางการทำ SEO ครับ
Prompt สำหรับภาพประกอบ: ภาพตัวละครกำลังเกาหัวคิด พร้อมเครื่องหมายคำถาม (?) ขนาดใหญ่ และมีกล่องคำตอบสั้นๆ ที่เคลียร์สำหรับแต่ละคำถามที่พบบ่อย
สรุปให้เข้าใจง่าย + อยากให้ลองลงมือทำ
มาถึงตรงนี้ ผมเชื่อว่าคุณเห็นแล้วว่า URL Slug ไม่ใช่แค่ "ที่อยู่เว็บ" แต่มันคือ "เครื่องมือ SEO" ทรงพลังที่หลายคนมองข้าม การตั้งชื่อ Slug ที่ดีเปรียบเหมือนการสร้างป้ายบอกทางที่ชัดเจน มันช่วยให้ Google เข้าใจเนื้อหาของคุณได้เร็วขึ้น ช่วยให้ผู้ใช้ตัดสินใจคลิกด้วยความมั่นใจ และช่วยให้แบรนด์ของคุณดูเป็นมืออาชีพมากขึ้น ทั้งหมดนี้ใช้เวลาเพิ่มขึ้นเพียงไม่กี่วินาทีในการสร้างหน้าใหม่ แต่ส่งผลดีในระยะยาวอย่างมหาศาล
หลักการง่ายๆ ที่อยากให้จำขึ้นใจคือ: "สั้น, สื่อความหมาย, ใช้คีย์เวิร์ด, คั่นด้วยขีดกลาง, และใช้ตัวพิมพ์เล็ก" แค่นี้ก็เพียงพอที่จะสร้างความได้เปรียบเหนือคู่แข่งแล้วครับ
อย่าปล่อยให้ URL ที่ไม่เป็นมิตรมาฉุดรั้งศักยภาพของเว็บไซต์คุณอีกต่อไป ลองกลับไปตรวจสอบ URL ของหน้าสำคัญๆ บนเว็บของคุณดูวันนี้ แล้วเริ่มปรับปรุงตามหลักการที่ผมให้ไปได้เลยครับ! การลงมือทำทันทีคือหัวใจสู่ความสำเร็จครับ
หากเว็บไซต์ของคุณมีโครงสร้างที่ซับซ้อนและต้องการปรับปรุงครั้งใหญ่เพื่อผลลัพธ์ทางธุรกิจที่ดีที่สุด ลองพิจารณาบริการ Website Renovation ของเรา หรือหากคุณทำเว็บ E-commerce และต้องการหาจุดรั่วไหลที่ทำให้เสียโอกาสในการขาย Ecommerce Optimization Audit อาจเป็นคำตอบสำหรับคุณ ปรึกษาเราได้เสมอครับ!
Recent Blog

เจาะลึกเบื้องหลังเคสรีดีไซน์เว็บไซต์ให้ SaaS Startup โดยใช้หลัก CRO และ UX เพื่อเพิ่ม Conversion Rate และจำนวนผู้ลงทะเบียนใช้งาน

แจกแจงรายละเอียดค่าใช้จ่ายในการทำเว็บไซต์แต่ละประเภท ตั้งแต่เว็บ SME, Corporate, E-Commerce ไปจนถึงเว็บ Custom พร้อมปัจจัยที่ส่งผลต่อราคา

อธิบายหลักการของ Information Architecture (IA) หรือสถาปัตยกรรมข้อมูล ว่าช่วยจัดระเบียบเนื้อหาและเมนูบนเว็บให้ผู้ใช้หาข้อมูลเจอง่ายได้อย่างไร